5 พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เพิ่มความเสี่ยง “มะเร็งเต้านม” โดยไม่รู้ตัว
มะเร็งเต้านมเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของผู้หญิงทั่วโลก แม้ว่าปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น พันธุกรรมและอายุ จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นชี้ว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ การทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่คุณสามารถทำได้
1. การดื่มแอลกอฮอล์ 🍷
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนและสอดคล้องกันว่า การดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณที่ดื่ม (Dose-response relationship)
- 
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยจำนวนมาก (Meta-analysis) พบว่า ทุกๆ 10 กรัมของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ (เทียบเท่าไวน์ 1 แก้วเล็ก หรือเบียร์ 1 กระป๋อง) ที่ดื่มเป็นประจำต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมขึ้นประมาณ 7-10% (Bagnardi et al., 2015) 
- 
กลไกการเกิดโรค: แอลกอฮอล์สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือด และสารเมตาบอไลต์ของแอลกอฮอล์ที่ชื่อว่า “อะซีตัลดีไฮด์” (Acetaldehyde) ยังสามารถทำลาย DNA ของเซลล์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมะเร็งได้ (World Cancer Research Fund/American Institute for Cancer Research, 2018) 
2. การสูบบุหรี่ 🚬
การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ได้รับการยืนยันสำหรับมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งเต้านม
- 
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบพบว่า ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้ที่ไม่เคยสูบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุน้อย หรือก่อนการตั้งครรภ์ครั้งแรก จะมีความเสี่ยงสูงที่สุด (Macacu et al., 2015) 
- 
กลไกการเกิดโรค: ควันบุหรี่ประกอบด้วยสารก่อมะเร็งหลายสิบชนิด ซึ่งสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและไปสะสมในเนื้อเยื่อเต้านม ทำให้เกิดความเสียหายต่อ DNA ของเซลล์ได้โดยตรง 
3. ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน (โดยเฉพาะหลังวัยหมดประจำเดือน)
การรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน
- 
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: WCRF/AICR สรุปว่ามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าไขมันในร่างกายที่มากเกินไปเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านมหลังวัยหมดประจำเดือน (World Cancer Research Fund/American Institute for Cancer Research, 2018) 
- 
กลไกการเกิดโรค: - 
การผลิตเอสโตรเจน: หลังหมดประจำเดือน รังไข่จะหยุดผลิตเอสโตรเจน แต่ เนื้อเยื่อไขมัน (Adipose tissue) จะกลายเป็นแหล่งผลิตเอสโตรเจนหลัก การมีไขมันส่วนเกินจึงทำให้ระดับเอสโตรเจนในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งสามารถกระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ (Eliassen et al., 2012) 
- 
ระดับอินซูลิน: ภาวะอ้วนมีความเชื่อมโยงกับภาวะดื้ออินซูลินและระดับอินซูลินในเลือดสูง ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินและสารในกลุ่ม Insulin-like growth factor (IGF-1) สามารถกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้เช่นกัน (Boyd, 2003) 
 
- 
4. การขาดการออกกำลังกาย
การมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอเป็นพฤติกรรมที่ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: การวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า ผู้หญิงที่ออกกำลังกายมากที่สุดมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมลดลงประมาณ 10-25% เมื่อเทียบกับผู้ที่ออกกำลังกายน้อยที่สุด (McTiernan et al., 2019) แม้แต่การเดินเร็วเพียง 1.25 ถึง 2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็สามารถลดความเสี่ยงลงได้ถึง 18% 
- 
กลไกการป้องกัน: การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงผ่านหลายกลไก เช่น ช่วยควบคุมน้ำหนัก, ลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและอินซูลิน, ลดการอักเสบในร่างกาย และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน 
5. การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน
การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน (ทั้งชนิดเม็ด, ฉีด, แผ่นแปะ, และห่วงอนามัยชนิดฮอร์โมน) มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- 
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: การศึกษาขนาดใหญ่ในประเทศเดนมาร์กที่ติดตามผู้หญิง 1.8 ล้านคนเป็นเวลานานกว่า 10 ปี พบว่า ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนในปัจจุบันหรือเคยใช้ในอดีต มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้ที่ไม่เคยใช้ประมาณ 20% (Relative Risk ≈ 1.20) (Mørch et al., 2017) 
- 
บริบทที่สำคัญ: - 
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้ถือว่า “เล็กน้อย” ในเชิงสถิติ (Absolute risk increase is small) 
- 
ความเสี่ยงจะค่อยๆ ลดลง และกลับสู่ระดับปกติหลังจากหยุดใช้ยาไปแล้วประมาณ 5-10 ปี 
- 
สิ่งสำคัญคือต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยนี้ กับประโยชน์ของการคุมกำเนิดและการลดความเสี่ยงของมะเร็งชนิดอื่น (เช่น มะเร็งรังไข่และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก) (Iversen et al., 2017) 
 
- 
สรุป: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์, ไม่สูบบุหรี่, รักษาน้ำหนักตัวให้แข็งแรง, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, และปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกในการคุมกำเนิด เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับในการช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมได้อย่างแท้จริง (Rock et al., 2020)
เอกสารอ้างอิง (APA 7th Edition)
- 
Bagnardi, V., Rota, M., Botteri, E., Tramacere, I., Islami, F., Fedirko, V., … & La Vecchia, C. (2015). Alcohol consumption and site-specific cancer risk: a comprehensive dose-response meta-analysis. British Journal of Cancer, 112(3), 580–593. https://doi.org/10.1038/bjc.2014.579 
- 
Boyd, A. M. (2003). Estrogen, insulin, and breast cancer risk: A review of the literature. Journal of the American Academy of Nurse Practitioners, 15(4), 148-154. https://doi.org/10.1111/j.1745-7599.2003.tb00378.x 
- 
Eliassen, A. H., Colditz, G. A., Rosner, B., Willett, W. C., & Hankinson, S. E. (2012). Adult weight change and risk of postmenopausal breast cancer. JAMA, 308(20), 2093–2101. https://doi.org/10.1001/jama.2012.14441 
- 
Iversen, L., Sivasubramaniam, S., Lee, A. J., Fielding, S., & Hannaford, P. C. (2017). Lifetime cancer risk and combined oral contraceptives: the Royal College of General Practitioners’ Oral Contraception Study. American Journal of Obstetrics and Gynecology, 216(6), 580.e1–580.e9. https://doi.org/10.1016/j.ajog.2017.02.002 
- 
Macacu, A., Autier, P., Boniol, M., & Boyle, P. (2015). Active and passive smoking and risk of breast cancer: a meta-analysis. Breast Cancer Research and Treatment, 154(2), 213–224. https://doi.org/10.1007/s10549-015-3628-4 
- 
McTiernan, A., Friedenreich, C. M., Katzmarzyk, P. T., Powell, K. E., Macko, R., Buchner, D., … & Piercy, K. L. (2019). Physical Activity in Cancer Prevention and Survival: A Systematic Review. Medicine and Science in Sports and Exercise, 51(6), 1252–1261. https://doi.org/10.1249/MSS.0000000000001937 
- 
Mørch, L. S., Skovlund, C. W., Hannaford, P. C., Iversen, L., Fielding, S., & Lidegaard, Ø. (2017). Contemporary hormonal contraception and the risk of breast cancer. New England Journal of Medicine, 377(23), 2228–2239. https://doi.org/10.1056/NEJMoa1700732 
- 
Rock, C. L., Thomson, C., Gansler, T., Gapstur, S. M., McCullough, M. L., Patel, A. V., … & Doyle, C. (2020). American Cancer Society guideline for diet and physical activity for cancer prevention. CA: A Cancer Journal for Clinicians, 70(4), 245–271. https://doi.org/10.3322/caac.21591 
- 
U.S. Department of Health and Human Services. (2014). The Health Consequences of Smoking—50 Years of Progress: A Report of the Surgeon General. Atlanta, GA: U.S. Department of Health and Human Services, Centers for Disease Control and Prevention. 
- 
World Cancer Research Fund/American Institute for Cancer Research. (2018). Diet, Nutrition, Physical Activity and Cancer: A Global Perspective. Continuous Update Project Expert Report 2018. https://www.wcrf.org/diet-activity-and-cancer/ 
 
			
