รู้เร็ว รักษาได้: ทุกเรื่องที่ผู้หญิงไทยต้องรู้เกี่ยวกับ “มะเร็งเต้านม”
มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) ยังคงเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (National Cancer Institute, 2022) โรคนี้แตกต่างจากมะเร็งปากมดลูกตรงที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และแม้ว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป แต่ผู้หญิงทุกคนล้วนมีความเสี่ยง การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและการตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาให้ประสบความสำเร็จได้อย่างสูงสุด
มะเร็งเต้านมคืออะไร?
มะเร็งเต้านมคือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในเนื้อเยื่อเต้านม โดยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากเซลล์ที่บุท่อน้ำนม (Ductal Carcinoma) หรือต่อมน้ำนม (Lobular Carcinoma) เมื่อเซลล์เหล่านี้ได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (Gene Mutation) ทำให้เซลล์แบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ จนกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายและอาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (Makki, 2015)
แม้จะพบในผู้หญิงเป็นหลัก แต่ผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน โดยคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด (American Cancer Society, 2024)
สัญญาณอันตรายที่ต้องสังเกต
การตระหนักรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ สัญญาณและอาการที่ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยทันที ได้แก่ (American Cancer Society, 2024):
- 
คลำพบก้อนหนา หรือไตแข็ง บริเวณเต้านมหรือใต้รักแร้ 
- 
มีของเหลวผิดปกติไหลออกจากหัวนม (โดยเฉพาะของเหลวที่เป็นเลือด) 
- 
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม เช่น รอยบุ๋ม, รอยย่น, ผิวหนังบวมหนาคล้ายเปลือกส้ม 
- 
หัวนมบุ๋มหรือถูกดึงรั้งเข้าไปอย่างผิดปกติ 
- 
ขนาดหรือรูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด 
- 
มีผื่น แดง หรือแผลบริเวณลานหัวนมที่ไม่หาย 
แนวทางการตรวจเต้านม: จาก “การตรวจด้วยตนเอง” สู่ “การตระหนักรู้”
ในอดีตมีการรณรงค์ให้ผู้หญิง “ตรวจเต้านมด้วยตนเอง” (Breast Self-Examination – BSE) เป็นประจำทุกเดือน อย่างไรก็ตาม การศึกษาขนาดใหญ่จำนวนมาก เช่น การทบทวนวรรณกรรมโดย Cochrane พบว่าการสอนให้ตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างเป็นแบบแผน ไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับเพิ่มจำนวนการผ่าตัดชิ้นเนื้อในภาวะที่ไม่ใช่มะเร็ง (Benign Biopsies) และเพิ่มความวิตกกังวลของผู้หญิง (Kösters & Gøtzsche, 2003)
ด้วยเหตุนี้ องค์กรด้านสุขภาพชั้นนำระดับโลก เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) และ สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (ACS) จึงได้ปรับเปลี่ยนคำแนะนำมาเน้นที่ “การตระหนักรู้ถึงความปกติของเต้านมตนเอง” (Breast Self-Awareness – BSA) (WHO, 2023; American Cancer Society, 2024) ซึ่งหมายถึง:
การส่งเสริมให้ผู้หญิงคุ้นเคยและรู้ว่าเต้านมปกติของตนเองมีลักษณะและให้ความรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะสามารถสังเกตเห็น “ความเปลี่ยนแปลง” ใดๆ ที่เกิดขึ้น และรีบไปพบแพทย์ทันที
ทำอย่างไรจึงจะ “ตระหนักรู้” ถึงเต้านมของตนเอง?
คุณสามารถใช้วิธีการดูและคลำแบบดั้งเดิมเพื่อทำความคุ้นเคยกับเต้านมของตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนที่เคร่งครัดหรือจับเวลาทุกเดือน:
- 
ขณะอาบน้ำ: ใช้สบู่ช่วยให้การคลำลื่นขึ้น คลำให้ทั่วเต้านมและบริเวณรักแร้ 
- 
หน้ากระจก: ยืนดูการเปลี่ยนแปลงของเต้านมในท่าต่างๆ เช่น ปล่อยแขนข้างลำตัว, ยกแขนเหนือศีรษะ, หรือท้าวเอว 
- 
ท่านอน: นอนราบแล้วใช้มือฝั่งตรงข้ามคลำเต้านมอีกข้างให้ทั่วถึงบริเวณรักแร้ 
สิ่งสำคัญ: หากพบก้อนหรือความเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่าเพิ่งตื่นตระหนก เพราะก้อนที่พบกว่า 80% ไม่ใช่มะเร็ง (Stanford Medicine) แต่ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
3 เสาหลักของการตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น
การตระหนักรู้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แนวทางการป้องกันมะเร็งเต้านมที่มีประสิทธิภาพสูงสุดประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ (Oeffinger et al., 2015):
- 
การตระหนักรู้ถึงเต้านมตนเอง (BSA): เพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงและพบแพทย์ได้ทันท่วงที 
- 
การตรวจเต้านมโดยแพทย์ (Clinical Breast Exam – CBE): ควรรับการตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขเป็นประจำทุก 1-3 ปี สำหรับผู้หญิงอายุ 25-39 ปี และทุกปีสำหรับผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป 
- 
การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรม (Screening Mammogram): เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม เพราะสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ก่อนที่จะมีอาการหรือคลำพบก้อน (Nelson et al., 2016) ผู้หญิงทั่วไปควรเริ่มทำแมมโมแกรมเป็นประจำทุกปีเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป 
สรุป: การป้องกันมะเร็งเต้านมที่ดีที่สุดคือการตรวจให้พบโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ซึ่งทำได้โดยการรู้จักและใส่ใจร่างกายของตนเอง, เข้ารับการตรวจโดยแพทย์อย่างสม่ำเสมอ, และปฏิบัติตามคำแนะนำในการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมตามวัยที่เหมาะสม
เอกสารอ้างอิง (APA 7th Edition)
- 
American Cancer Society. (2024, January 17). Breast Cancer Signs and Symptoms. https://www.cancer.org/cancer/types/breast-cancer/about/breast-cancer-signs-and-symptoms.html 
- 
American Cancer Society. (2024, January 17). Cancer Facts & Figures 2024. https://www.cancer.org/research/cancer-facts-statistics/all-cancer-facts-figures/2024-cancer-facts-figures.html 
- 
Kösters, J. P., & Gøtzsche, P. C. (2003). Regular self-examination or clinical examination for early detection of breast cancer. Cochrane Database of Systematic Reviews, 2003(2), CD003373. https://doi.org/10.1002/14651858.CD003373 
- 
Makki, J. (2015). Diversity of breast carcinoma: Histological subtypes and clinical relevance. Clinical Medicine Insights: Pathology, 8, 23–31. https://doi.org/10.4137/CPath.S31563 
- 
National Cancer Institute. (2022). Hospital Based Cancer Registry Annual Report 2021. Ministry of Public Health, Thailand. http://www.nci.go.th/th/File_download/Nci_news/hospital-based%20cancer%20registry%202021.pdf 
- 
Nelson, H. D., Tyne, K., Naik, A., Bougatsos, C., Chan, B. K., & Humphrey, L. (2016). Screening for breast cancer: an update for the U.S. Preventive Services Task Force. Annals of Internal Medicine, 164(4), 259-268. https://doi.org/10.7326/M15-0994 
- 
Oeffinger, K. C., Fontham, E. T., Etzioni, R., Herzig, A., Michaelson, J. S., Shih, Y. C., … & Wender, R. (2015). Breast cancer screening for women at average risk: 2015 guideline update from the American Cancer Society. JAMA, 314(15), 1599–1614. https://doi.org/10.1001/jama.2015.12783 
- 
Stanford Medicine. (n.d.). Benign Breast Conditions. Retrieved September 30, 2025, from https://stanfordhealthcare.org/medical-conditions/womens-health/benign-breast-conditions.html 
- 
Sung, H., Ferlay, J., Siegel, R. L., Laversanne, M., Soerjomataram, I., Jemal, A., & Bray, F. (2021). Global cancer statistics 2020: GLOBOCAN estimates of incidence and mortality worldwide for 36 cancers in 185 countries. CA: A Cancer Journal for Clinicians, 71(3), 209–249. https://doi.org/10.3322/caac.21660 
- 
World Health Organization (WHO). (2023, July 12). Breast cancer. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/breast-cancer 
 
			
