แน่นอนครับ บทความนี้ได้รับการปรับแก้และเรียบเรียงใหม่ทั้งหมด โดยอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยและแนวปฏิบัติทางคลินิกที่น่าเชื่อถือ 10 ฉบับ เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง แม่นยำ และเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในวัยเจริญพันธุ์ที่กำลังวางแผนการมีบุตร
มะเร็งเต้านมกับการตั้งครรภ์: ทุกคำถามที่ผู้หญิงอยากรู้ พร้อมข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้
ในปัจจุบัน เราพบผู้หญิงที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมในช่วงวัยเจริญพันธุ์ (ก่อนอายุ 45 ปี) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดคำถามและความกังวลที่สำคัญเกี่ยวกับภาวะเจริญพันธุ์และความสามารถในการตั้งครรภ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางการแพทย์ในปัจจุบันได้มอบความหวังและทางเลือกมากมายให้กับผู้ป่วยกลุ่มนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทราบคือ การวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นหมันหรือมีบุตรไม่ได้ การปรึกษาหารือกับทีมแพทย์แบบสหสาขาวิชาชีพ (Oncofertility) ตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญในการวางแผนอนาคตครอบครัวของคุณ
การรักษามะเร็งเต้านมส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์อย่างไร?
ผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ขึ้นอยู่กับชนิดของการรักษาที่ได้รับเป็นหลัก:
- ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy): เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อรังไข่มากที่สุด ยาเคมีบำบัดบางชนิด โดยเฉพาะกลุ่ม Alkylating agents (เช่น Cyclophosphamide) มีความเป็นพิษต่อเซลล์ไข่ (Gonadotoxic) สูง สามารถทำลายเซลล์ไข่ที่กำลังเติบโตและส่งผลให้รังไข่หยุดทำงานก่อนวัยอันควร (Premature Ovarian Insufficiency – POI) ซึ่งนำไปสู่ภาวะหมดประจำเดือนถาวรได้ (Partridge et al., 2007)
- การรักษาด้วยฮอร์โมน (Endocrine Therapy): การรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมน (เช่น Tamoxifen, Letrozole) ซึ่งจำเป็นสำหรับมะเร็งเต้านมชนิดที่ไวต่อฮอร์โมน (Hormone Receptor-Positive) ไม่ได้ทำให้เป็นหมันถาวร แต่จำเป็นต้องรับยาต่อเนื่อง 5-10 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากยาอาจก่อให้เกิดความพิการแต่กำเนิดแก่ทารก (teratogenic) (Han et al., 2021)
- การผ่าตัดและรังสีรักษา (Surgery and Radiation): การผ่าตัดเต้านมและการฉายรังสีบริเวณเต้านม โดยทั่วไปแล้วไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของรังไข่หรือมดลูก
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์
- อายุของผู้ป่วย: อายุเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า (โดยเฉพาะต่ำกว่า 35 ปี) มีจำนวนไข่สำรองในรังไข่มากกว่า จึงมีโอกาสที่รังไข่จะฟื้นตัวกลับมาทำงานได้หลังสิ้นสุดการให้ยาเคมีบำบัด ในขณะที่ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนถาวรหลังการรักษา (Letourneau et al., 2012)
- ชนิดและระยะของมะเร็ง: มะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ (ประมาณ 70-80%) เป็นชนิดที่ไวต่อฮอร์โมน (HR-positive) ซึ่งต้องใช้เวลาในการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนนานหลายปี ทำให้ต้องเลื่อนแผนการตั้งครรภ์ออกไป ส่วนมะเร็งชนิดที่ไม่ไวต่อฮอร์โมน (HR-negative) มักจำเป็นต้องใช้ยาเคมีบำบัดที่รุนแรงกว่า ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเจริญพันธุ์
ทางเลือกในการเก็บรักษาภาวะเจริญพันธุ์ (Fertility Preservation)
โชคดีที่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถวางแผนการมีบุตรในอนาคตได้ก่อนเริ่มการรักษา แนวทางปฏิบัติจากสมาคมชั้นนำอย่าง American Society of Clinical Oncology (ASCO) แนะนำให้ผู้ป่วยทุกรายในวัยเจริญพันธุ์ได้รับคำปรึกษาเรื่องนี้ (Oktay et al., 2018) โดยมีทางเลือกหลักๆ ดังนี้:
- การแช่แข็งไข่ (Oocyte Cryopreservation): เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่มีคู่สมรส โดยจะทำการกระตุ้นไข่และเก็บไข่มาแช่แข็งไว้ก่อนเริ่มให้ยาเคมีบำบัด
- การแช่แข็งตัวอ่อน (Embryo Cryopreservation): สำหรับผู้หญิงที่มีคู่สมรส สามารถนำไข่ที่เก็บได้มาปฏิสนธิกับอสุจิของคู่สมรสให้เป็นตัวอ่อนก่อน แล้วจึงแช่แข็งเก็บไว้ ซึ่งมีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูง
- การใช้ยาเพื่อปกป้องรังไข่ (Ovarian Suppression): การฉีดยาในกลุ่ม GnRH agonists ระหว่างการให้ยาเคมีบำบัด อาจช่วยลดความเสียหายต่อรังไข่และเพิ่มโอกาสที่ประจำเดือนจะกลับมาเป็นปกติหลังการรักษาได้ (Lambertini et al., 2018)
ความปลอดภัยในการตั้งครรภ์หลังการรักษา
ผู้ป่วยและแพทย์มักมีความกังวลอยู่ 2 ประเด็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีข้อมูลวิจัยที่ชัดเจนมายืนยันแล้ว:
- การตั้งครรภ์จะทำให้มะเร็งกำเริบหรือไม่?: ไม่ การศึกษาแบบ Meta-analysis ขนาดใหญ่ที่รวบรวมข้อมูลผู้ป่วยหลายพันคน สรุปได้อย่างชัดเจนว่า การตั้งครรภ์หลังการรักษามะเร็งเต้านมเสร็จสิ้นนั้น “ปลอดภัย” และไม่เพิ่มความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ (Azim et al., 2013; Lambertini et al., 2021)
- ทารกในครรภ์จะมีความเสี่ยงหรือไม่?: ไม่ งานวิจัยไม่พบว่าทารกที่เกิดจากมารดาที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมและได้รับเคมีบำบัดในอดีต จะมีความเสี่ยงต่อความพิการแต่กำเนิดหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ เพิ่มขึ้น (Prado et al., 2021) ส่วนความเสี่ยงที่บุตรจะได้รับการถ่ายทอดยีนมะเร็งนั้นมีน้อย โดยพบว่ามะเร็งเต้านมที่เกิดจากพันธุกรรมโดยตรงมีเพียง 5-10% เท่านั้น (Paluch-Shimon et al., 2017)
ควรเว้นระยะนานเท่าไหร่ก่อนจะตั้งครรภ์?
โดยทั่วไป แพทย์มักแนะนำให้ รออย่างน้อย 2 ปี หลังสิ้นสุดการรักษาทั้งหมดก่อนจะพยายามตั้งครรภ์ เหตุผลหลักคือ ช่วง 2-3 ปีแรกเป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำของโรคสูงที่สุด การเว้นระยะเวลาจะช่วยให้ผ่านพ้นช่วงที่อันตรายที่สุดไปก่อน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่เหมาะสมควรพิจารณาเป็นรายบุคคลร่วมกับแพทย์ผู้ดูแล (Pagani et al., 2019)
สรุป: การวางแผนครอบครัวสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในวัยเจริญพันธุ์เป็นเรื่องที่เป็นไปได้และปลอดภัย หากมีการวางแผนอย่างรอบคอบร่วมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านมะเร็งวิทยาและภาวะเจริญพันธุ์ตั้งแต่แรกเริ่ม
เอกสารอ้างอิง (APA 7th Edition)
- Azim, H. A., Jr., Kroman, N., Paesmans, M., Gelber, S., Rotmensz, N., Amant, F., … & Piccart-Gebhart, M. (2013). Prognostic impact of pregnancy after breast cancer according to estrogen receptor status: a multicenter retrospective study. Journal of Clinical Oncology, 31(1), 73–79. https://doi.org/10.1200/JCO.2012.44.2235
- Han, Y., He, C., & Jiang, J. (2021). Breast cancer and pregnancy: A recent review of the literature. Journal of the Chinese Medical Association, 84(5), 445–449. https://doi.org/10.1097/JCMA.0000000000000516
- Lambertini, M., Ceppi, M., Poggio, F., Peccatori, F. A., Azim, H. A., Jr., De Marchis, L., … & Del Mastro, L. (2018). Ovarian suppression with gonadotropin-releasing hormone agonists during chemotherapy in premenopausal women with early breast cancer: a systematic review and meta-analysis. Journal of Clinical Oncology, 36(19), 1981–1990. https://doi.org/10.1200/JCO.2018.78.0858
- Lambertini, M., Kroman, N., Ameye, L., Buser, K., Hamy, A. S., Bjelic-Radisic, V., … & Azim, H. A. (2021). Long-term outcome of pregnancy-associated breast cancer (PABC) in a multicenter cohort of 1169 women. Annals of Oncology, 32(7), 861–870. https://doi.org/10.1016/j.annonc.2021.03.207
- Letourneau, J. M., Ebbel, E. E., Katz, P. P., Oktay, K. H., & Rosen, M. P. (2012). Acute ovarian failure underestimates age-specific reproductive risk for women treated with chemotherapy. Cancer, 118(4), 1148–1154. https://doi.org/10.1002/cncr.26359
- Oktay, K., Harvey, B. E., Partridge, A. H., Quinn, G. P., Reinecke, J., Taylor, H. S., … & Loren, A. W. (2018). Fertility preservation in patients with cancer: ASCO clinical practice guideline update. Journal of Clinical Oncology, 36(19), 1994–2001. https://doi.org/10.1200/JCO.2018.78.1914
- Pagani, O., Ruggeri, M., Manunta, S., Saunders, C., Peccatori, F., & Cardoso, F. (2019). Pregnancy after breast cancer: a multidisciplinary approach. Breast Cancer Research and Treatment, 177(3), 563-577. https://doi.org/10.1007/s10549-019-05358-1
- Paluch-Shimon, S., Pagani, O., Partridge, A. H., Abulkhair, O., Cardoso, M. J., Fallowfield, L. J., … & Cardoso, F. (2017). ESO-ESMO 3rd international consensus guidelines for breast cancer in young women (BCY3). Annals of Oncology, 28(9), 2096–2112. https://doi.org/10.1093/annonc/mdx434
- Partridge, A. H., Gelber, S., Gelber, R. D., & Winer, E. P. (2007). Age of menopause in women who receive adjuvant chemotherapy for breast cancer. Journal of the National Cancer Institute, 99(5), 385–390. https://doi.org/10.1093/jnci/djk064
- Prado, G., Azim, H. A., Jr., & de Azambuja, E. (2021). Breast cancer and pregnancy: How to treat and what is the impact on the offspring? Breast, 55, 58-62. https://doi.org/10.1016/j.breast.2020.12.006
