มะเร็งเต้านม

“เคมีบำบัด” ไม่จำเป็นต่อผู้ป่วย “มะเร็งเต้านม” ทุกคนเสมอไป

Views

 

การแพทย์แม่นยำ: เมื่อการตรวจพันธุกรรมช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ไม่ต้องทำเคมีบำบัด

เรื่องราวของคุณเอมี่ อดัม (Amy Adam) สะท้อนให้เห็นถึงความหวังและความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษามะเร็งเต้านม การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมทำให้เธอตรวจพบก้อนมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ขณะที่มันมีขนาดเพียง 3-4 มิลลิเมตร และด้วยเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ เธอจึงสามารถเข้ารับการรักษาโดยไม่ต้องทำเคมีบำบัด (คีโม) เรื่องราวของคุณอดัมไม่ใช่กรณีพิเศษ แต่เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากงานวิจัยครั้งประวัติศาสตร์ที่ได้เปลี่ยนแปลงมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั่วโลก

พลังของการตรวจคัดกรอง: กุญแจสู่การรักษาที่ง่ายขึ้น

หัวใจสำคัญในเรื่องราวของคุณอดัมคือ “การตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น” การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการตรวจหามะเร็งเต้านมก่อนที่ผู้ป่วยจะคลำพบก้อนหรือแสดงอาการใดๆ การศึกษาจำนวนมากยืนยันว่าการตรวจคัดกรองเป็นประจำช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะทำให้พบมะเร็งในขณะที่ยังมีขนาดเล็กและยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ซึ่งง่ายต่อการรักษาและมีโอกาสหายขาดสูง (Nelson et al., 2016)

ความท้าทายในอดีต: ใครกันแน่ที่ต้องทำเคมีบำบัด?

ในอดีต ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นชนิดที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน (Hormone Receptor-Positive, HER2-Negative) ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด มักจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนควบคู่ไปกับเคมีบำบัดเพื่อลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ อย่างไรก็ตาม แพทย์ทราบดีว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากเคมีบำบัด แต่กลับต้องเผชิญกับผลข้างเคียงที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต เช่น คลื่นไส้ ผมร่วง อ่อนเพลีย และความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น โรคหัวใจและความเสียหายของเส้นประสาท (National Cancer Institute, 2024) คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่าจะสามารถระบุได้อย่างไรว่าใครคือผู้ที่ “จำเป็น” ต้องได้รับเคมีบำบัดจริงๆ

การศึกษา TAILORx: คำตอบที่เปลี่ยนแปลงวงการแพทย์

คำตอบของคำถามนี้ชัดเจนขึ้นอย่างมากหลังการตีพิมพ์ผลการศึกษา TAILORx ในวารสาร The New England Journal of Medicine ซึ่งนำโดย Dr. Joseph A. Sparano (Sparano et al., 2018) การศึกษานี้ได้ใช้ การตรวจวิเคราะห์การแสดงออกของยีน 21 ชนิด (21-gene assay หรือ Oncotype DX®) จากชิ้นเนื้อมะเร็ง เพื่อคำนวณ “คะแนนความเสี่ยงในการกลับเป็นซ้ำ” (Recurrence Score)

ดร. เอมมิลี่ อัลไบรท์ (Dr. Emily Albright) ศัลยแพทย์มะเร็งเต้านมแห่ง University of Missouri Health Care อธิบายว่า การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์สามารถแบ่งกลุ่มผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ:

  • กลุ่มเสี่ยงต่ำ: ไม่จำเป็นต้องทำเคมีบำบัด

  • กลุ่มเสี่ยงสูง: จำเป็นต้องทำเคมีบำบัด

  • กลุ่มเสี่ยงปานกลาง: เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและไม่มีความชัดเจนในการรักษามาก่อน

ผลการศึกษา TAILORx ที่ติดตามผู้ป่วยกว่า 10,000 คน พบว่าในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงปานกลาง (Recurrence Score 11-25) การรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว ให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมและไม่แตกต่างจากการให้เคมีบำบัดร่วมด้วย การค้นพบนี้ได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่เปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติทางการแพทย์ทั่วโลกทันที (NCCN Guidelines, 2024; Krop et al., 2017)

ยุคใหม่ของการรักษา: ชีววิทยาของเนื้องอกสำคัญกว่าขนาด

ดร. อัลไบรท์ เน้นย้ำว่า “เราเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับชีววิทยาของเนื้องอก” ปัจจุบัน การตัดสินใจให้การรักษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนมะเร็ง (Anatomy) เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ให้น้ำหนักกับ “ลักษณะทางชีววิทยา” (Biology) ของเซลล์มะเร็ง ซึ่งสะท้อนผ่านการแสดงออกของยีนเป็นสำคัญ (Paik et al., 2004) ก้อนมะเร็งบางชนิดแม้มีขนาดเล็ก แต่ก็อาจมีลักษณะทางชีววิทยาที่ดุร้ายและจำเป็นต้องใช้เคมีบำบัด ในขณะที่ก้อนขนาดใหญ่อีกชนิดอาจมีลักษณะที่ไม่ดุร้ายและตอบสนองดีต่อยาต้านฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว

ผลกระทบต่อผู้ป่วย: คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับผู้ป่วยอย่างคุณอดัม ผลลัพธ์จากการศึกษานี้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ การไม่ต้องเข้ารับเคมีบำบัดช่วยลดความวิตกกังวล และที่สำคัญคือช่วยรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไว้ได้ การศึกษาเพิ่มเติมจากกลุ่มผู้ป่วย TAILORx ยังยืนยันว่าผู้ป่วยที่หลีกเลี่ยงเคมีบำบัดได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (Morpain et al., 2022) ความก้าวหน้านี้ยังถูกต่อยอดไปสู่การศึกษาอื่นๆ เช่น RxPONDER ซึ่งขยายผลการค้นพบนี้ไปยังผู้ป่วยที่มะเร็งลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง 1-3 ต่อมได้สำเร็จในกลุ่มสตรีวัยหมดประจำเดือน (Kalinsky et al., 2021)

สรุป: เรื่องราวของคุณอดัมเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของการแพทย์ยุคใหม่ ที่ผสมผสาน “การตรวจคัดกรองเพื่อพบโรคแต่เนิ่นๆ” เข้ากับ “การแพทย์แม่นยำ” ที่ใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องเผชิญกับผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็น และสามารถกลับไปใช้เวลากับครอบครัวและคนที่รักได้อย่างมีคุณภาพ


เอกสารอ้างอิง (APA 7th Edition)

  1. Sparano, J. A., Gray, R. J., Makower, D. F., Pritchard, K. I., Albain, K. S., Hayes, D. F., … & Sledge, G. W., Jr. (2018). Adjuvant chemotherapy guided by a 21-gene expression assay in breast cancer. New England Journal of Medicine, 379(2), 111–121. https://doi.org/10.1056/NEJMoa1804710 (งานวิจัยหลักของ TAILORx)

  2. Paik, S., Shak, S., Tang, G., Kim, C., Baker, J., Cronin, M., … & Wolmark, N. (2004). A multigene assay to predict recurrence of tamoxifen-treated, node-negative breast cancer. New England Journal of Medicine, 351(27), 2817–2826. https://doi.org/10.1056/NEJMoa041588 (งานวิจัยต้นฉบับที่รับรองการตรวจ 21-gene)

  3. Nelson, H. D., Fu, R., Cantor, A., Pappas, M., Daeges, M., & Humphrey, L. (2016). Effectiveness of breast cancer screening: systematic review and meta-analysis to update the 2009 U.S. Preventive Services Task Force recommendation. Annals of Internal Medicine, 164(4), 244–255. https://doi.org/10.7326/M15-0969 (ประสิทธิภาพของการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรม)

  4. National Cancer Institute. (2024). Chemotherapy Side Effects. Retrieved September 30, 2025, from https://www.cancer.gov/about-cancer/treatment/side-effects/chemotherapy (ข้อมูลผลข้างเคียงของเคมีบำบัด)

  5. National Comprehensive Cancer Network. (2024). NCCN Clinical Practice Guidelines in Oncology (NCCN Guidelines®) for Breast Cancer. Version 4.2024. Retrieved September 30, 2025, from NCCN.org. (แนวปฏิบัติทางคลินิกที่รับรองผล TAILORx)

  6. Krop, I., Ismaila, N., Andre, F., Bast, R. C., Jr., Barlow, W., Collyar, D. E., … & Winer, E. P. (2017). Use of biomarkers to guide decisions on adjuvant systemic therapy for women with early-stage invasive breast cancer: American Society of Clinical Oncology clinical practice guideline focused update. Journal of Clinical Oncology, 35(24), 2838–2847. https://doi.org/10.1200/JCO.2017.74.0472 (แนวปฏิบัติทางคลินิกจาก ASCO)

  7. Morpain, V. M., DeMichele, A. M., & Riba, M. B. (2022). Patient-reported outcomes in the TAILORx trial: a commentary. Journal of the National Cancer Institute, 114(8), 1079–1080. https://doi.org/10.1093/jnci/djac082 (ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตจาก TAILORx)

  8. Kalinsky, K., Barlow, W. E., Gralow, J. R., Meric-Bernstam, F., Albain, K. S., Hayes, D. F., … & Hortobagyi, G. N. (2021). 21-gene assay to inform chemotherapy benefit in node-positive breast cancer. New England Journal of Medicine, 385(25), 2336–2347. https://doi.org/10.1056/NEJMoa2108873 (การศึกษา RxPONDER ที่ต่อยอด)

  9. American Cancer Society. (2024). Breast Cancer Hormone Receptor Status. Retrieved September 30, 2025, from https://www.cancer.org/cancer/types/breast-cancer/understanding-a-breast-cancer-diagnosis/breast-cancer-hormone-receptor-status.html (ข้อมูลพื้นฐานเรื่องชนิดของมะเร็งเต้านม)

  10. Sparano, J. A., Gray, R. J., Makower, D. F., Pritchard, K. I., Albain, K. S., Hayes, D. F., … & Sledge, G. W. (2019). Clinical outcomes in early breast cancer with a high 21-gene recurrence score of 26 to 100 assigned to chemotherapy plus endocrine therapy: a secondary analysis of the TAILORx randomized clinical trial. JAMA Oncology, 5(11), 1588-1595. https://doi.org/10.1001/jamaoncol.2019.2618 (ข้อมูลติดตามผลระยะยาวของ TAILORx)