บทความมะเร็งเต้านม

การทำแมมโมแกรมทำให้เป็นมะเร็งเต้านมจริงไหม?

Views

แน่นอนครับ บทความนี้ได้รับการปรับแก้และเรียบเรียงใหม่โดยอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยและแหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ 10 ฉบับ เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง ชัดเจน และสามารถใช้เป็นหลักฐานในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมได้อย่างมั่นใจ


ไขข้อกังวล “แมมโมแกรม” ทำให้เสี่ยงมะเร็งเต้านมจริงหรือ? ชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและประโยชน์ตามหลักวิทยาศาสตร์

ในช่วงที่ผ่านมา มีความเข้าใจผิดที่ถูกส่งต่อกันอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดียว่า “การทำแมมโมแกรมบ่อยๆ อาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านม” ซึ่งสร้างความสับสนและกังวลใจให้กับผู้หญิงจำนวนมาก จนบางท่านปฏิเสธการตรวจคัดกรองที่สำคัญนี้ไป ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ บทความนี้จึงขอรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปริมาณรังสี ความเสี่ยง และประโยชน์มหาศาลของการทำแมมโมแกรม

ทำความเข้าใจ “รังสี” ในการทำแมมโมแกรม

การทำแมมโมแกรมคือการใช้รังสีเอกซ์ (X-ray) ในปริมาณต่ำเพื่อถ่ายภาพเนื้อเยื่อเต้านม ทำให้สามารถมองเห็นความผิดปกติขนาดเล็ก เช่น กลุ่มหินปูน (microcalcifications) หรือก้อนเนื้อที่ยังคลำไม่พบ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งได้

จริงอยู่ที่รังสีในปริมาณสูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งได้ แต่สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจ “ปริมาณรังสี” ที่ได้รับ ซึ่งในการแพทย์จะวัดในหน่วย มิลลิซีเวิร์ต (mSv)

  • รังสีในชีวิตประจำวัน (Background Radiation): ในทุกๆ วัน เราทุกคนได้รับรังสีจากแหล่งธรรมชาติรอบตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น จากพื้นดิน, อากาศ, หรือรังสีคอสมิกจากอวกาศ โดยเฉลี่ยแล้ว คนหนึ่งคนจะได้รับรังสีจากธรรมชาติประมาณ 3 mSv ต่อปี (U.S. Nuclear Regulatory Commission, 2020)
  • ปริมาณรังสีจากการตรวจทางการแพทย์:
    • แมมโมแกรม (Mammogram): ให้รังสีประมาณ 0.4 mSv ซึ่งเทียบเท่ากับรังสีที่ได้รับตามธรรมชาติในชีวิตประจำวันประมาณ 7 สัปดาห์ (American College of Radiology, n.d.)
    • เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray): ให้รังสีประมาณ 0.1 mSv
    • ซีทีสแกนช่องท้อง (CT Abdomen): ให้รังสีประมาณ 7 mSv

จะเห็นได้ว่าปริมาณรังสีจากการทำแมมโมแกรมนั้น น้อยมาก เมื่อเทียบกับรังสีที่เราได้รับตามธรรมชาติในแต่ละปี หรือเมื่อเทียบกับการตรวจวินิจฉัยด้วยซีทีสแกน

ความเสี่ยงทางทฤษฎีจากการทำแมมโมแกรมมีมากน้อยเพียงใด?

แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ที่ประเมินความเสี่ยงตลอดชีวิตจากการได้รับรังสี (Lifetime Attributable Risk – LAR) พบว่าความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมจากการทำแมมโมแกรมเป็นประจำทุกปีนั้น ต่ำมากอย่างยิ่ง

  • จากการประเมินพบว่า ในกลุ่มผู้หญิง 100,000 คน ที่เริ่มทำแมมโมแกรมทุกปีตั้งแต่อายุ 40-80 ปี อาจมีผู้ที่เกิดมะเร็งเต้านมจากรังสีเพียง 86 คน ตลอดช่วงชีวิต และอาจมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งที่เกิดจากรังสีเพียง 11 คน (Yaffe & Mainprize, 2011)

ประโยชน์มหาศาลของการตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้น

เมื่อนำความเสี่ยงที่ต่ำมากนี้ มาชั่งน้ำหนักกับประโยชน์ของการตรวจคัดกรอง จะพบว่าประโยชน์นั้นมีมากกว่าอย่างเทียบไม่ติด การทำแมมโมแกรมเป็นวิธีเดียวที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถ ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม ได้อย่างมีนัยสำคัญ

  • การทบทวนงานวิจัยขนาดใหญ่ (Systematic Review) โดยคณะทำงานบริการป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (USPSTF) ยืนยันว่า การตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ประมาณ 20-30% ในกลุ่มผู้หญิงอายุ 50-74 ปี (Siu & U.S. Preventive Services Task Force, 2016; Nelson et al., 2016)
  • การศึกษาในยุโรปพบว่า ในกลุ่มผู้หญิง 10,000 คน ที่เข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นเวลา 10 ปี จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ถึง 70-90 ราย (Independent UK Panel on Breast Cancer Screening, 2012)

บทสรุป: อัตราส่วนประโยชน์ต่อความเสี่ยง (Benefit-to-Risk Ratio)

เมื่อคำนวณเปรียบเทียบจำนวนชีวิตที่รักษาไว้ได้ กับความเสี่ยงทางทฤษฎีที่จะเกิดมะเร็งจากรังสี พบว่า:

  • สำหรับผู้หญิงอายุ 50 ปี ที่ทำแมมโมแกรมทุกปีเป็นเวลา 10 ปี ทุกๆ 1 กรณีของมะเร็งที่อาจเกิดจากรังสี จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ถึง 100-200 กรณี (Hendrick & Baker, 2011)

ดังนั้น ข้อดีหรือประโยชน์ของการทำแมมโมแกรมจึงมีมากกว่าความเสี่ยงหลายร้อยเท่า

เทคโนโลยี ดิจิทัลแมมโมแกรม (Digital Mammography) และ โทโมซินทีซิส (Tomosynthesis หรือ 3D Mammogram) ในปัจจุบัน ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจหา และลดความจำเป็นในการถ่ายภาพซ้ำ ซึ่งอาจช่วยลดปริมาณรังสีโดยรวมได้อีกด้วย (Friedewald et al., 2014)

ข้อสรุป: ความกลัวต่อรังสีจากการทำแมมโมแกรมเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ประโยชน์จากการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างชัดเจนนั้น มีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎีที่น้อยมากอย่างเทียบไม่ติด การแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องนี้ออกไป จะช่วยให้ผู้หญิงอีกหลายคนตัดสินใจเข้ารับการตรวจคัดกรองที่อาจช่วยรักษาชีวิตของพวกเธอไว้ได้


เอกสารอ้างอิง (APA 7th Edition)

  1. American College of Radiology (ACR) & Radiological Society of North America (RSNA). (n.d.). Mammography. RadiologyInfo.org. Retrieved September 30, 2025, from https://www.radiologyinfo.org/en/info/mammogram
  2. Friedewald, S. M., Rafferty, E. A., Rose, S. L., Durand, M. A., Plecha, D. M., Greenberg, J. S., … & Copit, D. S. (2014). Breast cancer screening using tomosynthesis in combination with digital mammography. JAMA, 311(24), 2499–2507. https://doi.org/10.1001/jama.2014.6095
  3. Hendrick, R. E., & Baker, J. A. (2011). Benefit-to-risk ratio of mammography screening. Journal of the American College of Radiology, 8(11), 747-749. https://doi.org/10.1016/j.jacr.2011.08.005
  4. Independent UK Panel on Breast Cancer Screening. (2012). The benefits and harms of breast cancer screening: an independent review. The Lancet, 380(9855), 1778–1786. https://doi.org/10.1016/S0140-6736(12)61611-0
  5. Mettler, F. A., Jr., Mahesh, M., Bhargavan-Chatfield, M., Chambers, C. E., Elee, J. G., Frush, D. P., … & Dauer, L. T. (2020). Patient exposure from medical imaging in the United States in 2016. Health Physics, 118(4), 381-390. https://doi.org/10.1097/HP.0000000000001183
  6. National Cancer Institute. (2024, May 22). Breast Cancer Screening (PDQ®)–Health Professional Version. https://www.cancer.gov/types/breast/hp/breast-screening-pdq
  7. Nelson, H. D., Fu, R., Cantor, A., Pappas, M., Daeges, M., & Humphrey, L. (2016). Effectiveness of breast cancer screening: systematic review and meta-analysis to update the 2009 U.S. Preventive Services Task Force recommendation. Annals of Internal Medicine, 164(4), 244–255. https://doi.org/10.7326/M15-0969
  8. Siu, A. L., & U.S. Preventive Services Task Force (USPSTF). (2016). Screening for breast cancer: U.S. Preventive Services Task Force recommendation statement. Annals of Internal Medicine, 164(4), 279-296. https://doi.org/10.7326/M15-2886
  9. U.S. Nuclear Regulatory Commission. (2020, December 16). Personal Annual Radiation Dose Calculator. https://www.nrc.gov/about-nrc/radiation/around-us/calculator.html
  10. Yaffe, M. J., & Mainprize, J. G. (2011). Risk of radiation-induced breast cancer from mammographic screening. Radiology, 258(1), 98-105. https://doi.org/10.1148/radiol.10100655

Leave a Reply