SLE

สัญญาณเตือน “โรคภูมิแพ้ตัวเอง”

42136915 - woman scratching her arm.
Views

โรคภูมิแพ้ตัวเอง เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันสูญเสียความสามารถในการแยกแยะระหว่างเซลล์ที่เป็นของตนเอง กับ เซลล์ของผู้รุกราน ความผิดพลาดในระบบ ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเองทำให้เซลล์ปกติของตัวเองบาดเจ็บ อาการของโรคจะเป็นๆหายๆ มีการกำเริบและสงบเป็นระยะ ทำให้เกิดการอักเสบ และความเสียหายในอวัยวะต่างๆ และหากเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกายโดยที่ผู้ป่วยไม่ใส่ใจดูแลรักษาตัวเองอย่างต่อเนื่องก็อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

          นายแพทย์ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus, SLE) พบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยทางพันธุกรรม และ ปัจจัยอื่น ส่งเสริมทำให้เกิดโรค ได้แก่ การติดเชื้อ ยา แสงแดด สารเคมีในสิ่งแวดล้อมอาการของโรคนี้จะแสดงความผิดปกติในร่างกายหลายระบบร่วมกัน เช่น ผื่นโรค SLE ระบบผิวหนัง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด กล้ามเนื้อและข้อเม็ดเลือด ไต ระบบทางเดินหายใจ ผมร่วง เป็นต้น ดังนั้น ผู้ป่วยโรค SLE จึงมีอาการ แสดงทางคลินิกที่หลากหลาย และมีความรุนแรงแตกต่างกัน ตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรง เช่น มีผื่น ปวดข้อ ไปจนถึงอาการแสดงที่มีความรุนแรงถึงเสียชีวิต เช่น ไตอักเสบ ดังนั้น การดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละรายจึงมีความแตกต่างกัน และแม้ว่าจะเป็นโรคที่รักษาไม่หายแต่ผู้ป่วยก็สามารถคุณภาพชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติได้หากมีการติดตามรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

          นายแพทย์ธีรพล กล่าวอีกว่า การวินิจฉัยโรค SLE จะต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วย และผลเลือด โดยมีเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติอย่างน้อย 4 ใน 11 ข้อ ได้แก่ 1. ผื่นบริเวณใบหน้าและมีการกระจายเป็นรูปผีเสื้อ 2. ผื่นผิวหนังชนิดที่เรียกว่าผื่นดีสคอยด์ พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า ใบหู ลำตัว และแขนขา 3. อาการแพ้แดด โดยมีผื่นผิวหนังแดงอย่างรุนแรงเมื่อโดนแดด 4. แผลในปาก 5. ข้ออักเสบ 6. ไตอักเสบ โดยปริมาณโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ 7. อาการชักหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ 8. เยื่อหุ้มปอดหรือหัวใจหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ 9. อาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ (ที่ไม่ได้เกิดจากยาหรือการติดเชื้อ) 10. ตรวจพบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody) ในเลือด 11. ตรวจพบแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (anti-dsDNA) หรือ การตรวจพบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดีหรือการตรวจเลือดพบผลบวกปลอมต่อการตรวจซิฟิลิส

          “เนื่องจากการรักษาโรค SLE มีระยะการรักษาที่ยาวนาน นอกจากการรักษาโรคแล้ว ผู้ป่วยควรดูแลตนเอง โดยควรทำความเข้าใจ ธรรมชาติ และกลไกการเกิดโรค รวมทั้งเข้าใจเหตุผลของการประเมิน ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ในทางปฏิบัติสิ่งที่ควรทำก็คือ 1. ทำจิตใจให้สงบ ไม่เครียด 2. พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3. รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะและครบหมู่ควรรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์และปรุงสุก 4. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจ้าควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเมื่อต้องออกไปกลางแดด 5. อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่น 6. ไม่ควรตั้งครรภ์ ในขณะที่โรคยังรุนแรงหรือกำลังกำเริบ 7. รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ 8. ปรึกษาแพทย์ หากสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อ เช่น มีไข้ มีแผล ฝี หนอง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ท้องร่วง หรือ ต้องรับการรักษาอื่นๆ เช่น การทำฟัน หรือ ต้องเข้ารับการผ่าตัด ทั้งนี้เพื่อให้แพทย์ปรับ ยา หยุดยา หรือพิจารณาให้ยาตามความเหมาะสม หรือมีอาการผิดปกติที่อาจบ่งว่าโรคกำเริบ เช่น อาการไข้ อ่อนเพลีย มี ผื่นขึ้นมากกว่าเดิม ปวดข้อ ผมร่วง มีแผล ในปาก เป็นต้น และ 9. ติดตามรักษาอย่างสม่ำเสมอและไม่ควรหยุดยาเองเนื่องจากในบางครั้งอาจำให้กำเริบอย่างรุนแรงถึขั้นเสียชีวิตได้”อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวในที่สุด

ขอขอบคุณ https://www.thaihealth.or.th

Leave a Reply