โรคอ้วนโรคไต

อ้วนกลมระทมไต

Views

ปัจจุบันปัญหาโรคอ้วนในคนไทยได้ทวีความรุนแรงขึ้น สาเหตุเนื่องมาจากรูปแบบการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่บริโภคอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูงเกินความจำเป็น อีกทั้งยังไม่มีเวลาออกกำลังกาย โรคอ้วนเป็นสาเหตุสำคัญของโรคที่ตามมาหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือโรคไต โดยมีข้อมูลมากมายที่แสดงถึงความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างโรคอ้วนและโรคไต พบว่าคนที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินจะมีโอกาสเกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในอนาคตมากกว่าคนทั่วไป 2-7 เท่า เพื่อเป็นการให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายดังกล่าว วันไตโลกในปีนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การรณรงค์เพื่อลดโรคอ้วน

ความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและโรคไต

โรคอ้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไตได้หลายทาง ที่ชัดเจนที่สุดคือการที่โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังที่สำคัญที่สุด 2 อันดับแรก นอกจากนี้โรคอ้วนยังมีผลต่อการเสื่อมของไตที่เร็วขึ้น เนื่องจากในผู้ป่วยโรคอ้วนไตจะมีอัตราการกรองของเสียสูงกว่าคนปกติ และมีไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะในปริมาณที่มากขึ้น เมื่อไตทำงานหนักเป็นเวลานานก็จะทำให้ไตเสื่อมเร็ว นอกจากนี้ยังพบว่าการเพิ่มขึ้นของเซลล์ไขมันทั่วร่างกายจะทำให้มีการหลั่งสารในขบวนการอักเสบต่าง ๆ ออกมาสู่กระแสเลือด ซึ่งสารเหล่านี้มีส่วนทำให้เซลล์ของไตทำงานผิดปกติตามมาในที่สุด

ความสัมพันธ์ของโรคอ้วนและโรคไตไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะโรคไตเรื้อรัง แต่โรคไตวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะที่มีความรุนแรง จำเป็นต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วนนั้นก็พบในคนอ้วนได้บ่อยกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ และยังพบว่าภาวะไตวายเฉียบพลันที่เกิดในคนอ้วนยังสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น และมีโอกาสที่จะพบไตเสื่อมในระยะยาวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

โรคอ้วน วินิจฉัยอย่างไร

โรคอ้วนแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ

1.อ้วนลงพุง เป็นลักษณะของคนอ้วนที่มีการสะสมของไขมันที่บริเวณช่องท้องและอวัยวะภายใน วินิจฉัยโดยการวัดเส้นรอบเอว โดยโรคอ้วนลงพุงจะได้รับการวินิจฉัยเมื่อมี ค่าเส้นรอบเอวตั้งแต่ 90 เซนติเมตรขึ้นไปในผู้ชาย และตั้งแต่ 80 เซนติเมตรขึ้นไปในผู้หญิง โดยโรคอ้วนลงพุงจะมีความสัมพันธ์กับโรคแทรกซ้อนมากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

2.อ้วนทั้งตัว เป็นลักษณะของคนอ้วนที่มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติ โดยไขมันที่เพิ่มขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งโดยเฉพาะ คนที่เป็นโรคอ้วนทั้งตัวส่วนใหญ่มักจะมีโรคอ้วนลงพุงร่วมอยู่ด้วย ทำให้โรคอ้วนทั้งตัวมีความสัมพันธ์กับโรคต่างๆ มาก ทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคข้อเสื่อม โรคปวดหลัง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น

การวินิจฉัยโรคอ้วนทั้งตัวเราจะใช้การวัดค่าดัชนีมวลกาย หรือ body mass index (BMI) โดยมีสูตรคำนวณดังนี้

ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร)2

และเราสามารถแบ่งระดับความอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคตามค่าดัชนีมวลกายได้ดังนี้ 

ค่าดัชนีมวลกาย (กก./ม2)อยู่ในเกณฑ์ความเสี่ยงต่อโรค
น้อยกว่า 18.5น้ำหนักน้อย / ผอมมากกว่าคนปกติ
18.5-22.9ปกติ (สุขภาพดี)เท่าคนปกติ
23.0-24.9ท้วม / โรคอ้วนระดับ 1อันตรายระดับ 1
25.0-29.9อ้วน / โรคอ้วนระดับ 1อันตรายระดับ 2
มากกว่า 30.0อ้วนมาก / โรคอ้วนระดับ 2อันตรายระดับ 3

ที่มา: องค์การอนามัยโลก

หลักการลดความอ้วน เพื่อป้องกันโรคไต

เราสามารถลดน้ำหนักเพื่อป้องกันโรคไตโดยยึดหลัก 3 อ. ดังต่อไปนี้

อาหาร

รับประทานให้ครบทั้ง 3 มื้อ

เลือกรับประทานอาหารพลังงานต่ำ หรือลดปริมาณอาหารลงอย่างน้อย 1 ใน 3 ของที่เคยรับประทาน

ลดอาหารประเภท แป้ง น้ำตาล ไขมัน ลง

รับประทานผักหลากสี ผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัด เช่น แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง เป็นต้น

เคี้ยวอาหารช้าๆ ใช้เวลาเคี้ยวประมาณ 30 ครั้งต่อ 1 คำ

ไม่ควรรับประทานอาหารหลังเวลา 20.00 น.

ออกกำลังกาย

แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย

เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟท์

เพิ่มการเดินให้ได้ 2,000 ก้าวต่อวัน

ออกกำลังกายแบบแอโรบิค อย่างต่อเนื่อง 30 นาทีขึ้นไป 5 วันต่อสัปดาห์ โดยเลือกกีฬาที่ชอบ และมีความสุขขณะเล่น อาจจะเป็นเดินเร็ว วิ่ง ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

อารมณ์

การลดน้ำหนักจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมอารมณ์เป็นสำคัญ เพราะหากยิ่งเครียดก็จะยิ่งรับประทานมาก และที่สำคัญคือต้องมีอารมณ์มุ่งมั่นต่อเป้าหมายลดน้ำหนัก หากไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้ จะทำให้ล้มเลิกความคิดในการลดน้ำหนักในที่สุด โดยหลักในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกขณะลดน้ำหนัก มีดังนี้ 

สกัด  สกัดสิ่งกระตุ้นที่ทำให้หิว

สะกด สะกดใจไม่ให้บริโภคเกิน

สะกิด ให้คนรอบข้างช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจขณะลดน้ำหนัก 

ที่มา: หลัก 3 อ. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ผู้เขียน : นาวาอากาศเอก นพ.พงศธร คชเสนี อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช

ขอบคุณข้อมูลจาก : hfocus

Leave a Reply