- หากคุณผู้หญิงคลำเจอก้อนที่เต้านม หรือ ใต้รักแร้ ทั้งที่กดเจ็บหรือไม่เจ็บ ควรมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรค มะเร็งเต้านม เพราะหากมีความผิดปกติจะสามารถรักษาให้หายขาดได้
- คุณผู้หญิงควรตรวจเต้านมด้วยตัวเอง เป็นประจำทุกเดือน หลังหมดประจำเดือนประมาณ 1 สัปดาห์
มะเร็ง โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนมากมายโดยเฉพาะ มะเร็งเต้านม ภัยร้ายสำหรับผู้หญิง
แม้ว่า มะเร็งเต้านม จะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยมากเป็นอันดับ 1 ก็ตาม แต่หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรกและเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา ก็สามารถหายขาดจากโรคได้
ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มักไม่มีอาการเริ่มแรกแสดงให้เห็น อาจคลำพบเพียงก้อนเนื้อบริเวณเต้านม หรือใต้รักแร้ อาจกดเจ็บหรือไม่ก็ได้ ผู้หญิงหลายคนจึงมองข้ามคิดว่าเป็นเรื่องปกติ จนโรคมะเร็งร้ายลุกลามมากแล้ว จึงค่อยตัดสินใจพบแพทย์ ส่งผลให้การรักษาล่าช้าและอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ใครที่ควรตรวจ
กลุ่มทั่วไป (ความเสี่ยงปานกลาง)
- ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจแมมโมแกรมทุก 1–2 ปี
- ผู้หญิงอายุ 50–74 ปี ควรตรวจแมมโมแกรมทุก 2 ปีอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอื่นๆ ควรเริ่มตรวจ ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 25–30 ปี และอาจเสริมด้วย MRI
- มีญาติสายตรง (แม่, พี่สาว, น้องสาว, บุตรสาว) เป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่
- ญาติสายตรงมีการกลายพันธุกรรม BRCA1 หรือ BRCA2 เป็นบวก
- เคยได้รับรังสี (Radiation therapy) บริเวณทรวงอกช่วงอายุ 10–30 ปี เช่น รักษา lymphoma
- เคยได้รับฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) เป็นเวลานาน เช่น ในผู้หญิงข้ามเพศ หรือ HRT หลังวัยหมดประจำเดือน
- มีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านมเองมาก่อน
- เคยตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบภาวะเสี่ยงสูง เช่น Atypical Ductal Hyperplasia (ADH) และ Lobular Carcinoma in Situ (LCIS)
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
- เคยเป็นเนื้องอกบางชนิดที่เคยรับการตรวจว่ามีความเสี่ยง เช่น Atypical Ductal Hyperplasia (ADH) และ Lobular Carcinoma in Situ (LCIS)
- การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพิ่มความเสี่ยงราว 7–10% ต่อการดื่ม 1 แก้ว/วัน
- โรคอ้วน โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน เพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งกระตุ้นเซลล์มะเร็งเต้านม
- ไม่ออกกำลังกาย หรือใช้ชีวิตแบบ
สัญญาณเตือนมะเร็งเต้านม ที่สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง มีดังนี้
1. คลำพบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม หรือใต้รักแร้
สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านเป็นประจำ โดยก้อนเนื้อที่พบอาจจะกดเจ็บ หรือไม่เจ็บก็ได้ ผู้หญิงทุกคนควรตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือนหลังรอบเดือนหมด ประมาณ 1 สัปดาห์
2. ขนาดหรือรูปร่างของเต้านมเปลี่ยนไป
แม้ปกติเต้านมทั้ง 2 ข้างอาจมีขนาดและรูปร่างที่ต่างกันบ้าง แต่การหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเต้านมข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างมีลักษณะผิดปกติไปจากเดิม จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้เท่าทันหากเกิดโรคร้ายตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
3. ผิวหนังที่เต้านมบุ๋มลงไปคล้ายลักยิ้ม หรือ บวมหนา เหมือนเปลือกส้ม
รวมถึงสีหรือผิวหนังบริเวณลานหัวนมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้ละเอียด เนื่องจากอาจเป็นอาการของเซลล์มะเร็งที่ลุกลามมาถึงชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
4. มีน้ำเหลือง หรือ ของเหลวไหลออกมาจากหัวนม
โดยเฉพาะหากพบว่าน้ำเหลืองหรือของเหลวไหลนั้นมีสีคล้ายเลือด และออกจากหัวนมเพียงรูเดียว ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเต้านมโดยละเอียด
5. อาการเจ็บผิดปกติที่เต้านม หรือ ผิวหนังของเต้านมอักเสบ
หากมีอาการเจ็บเต้านมโดยที่ไม่ใช่ช่วงมีประจำเดือน หรือพบว่าผิวหนังรอบๆ เต้านมบวมแดงอักเสบ โดยเฉพาะเมื่อคลำพบก้อนเนื้อร่วมด้วย อย่าละเลยว่าเป็นเรื่องธรรมดาเด็ดขาด
6. ผื่นคันบริเวณเต้านมรักษาแล้วไม่หายขาด
ผื่นคันอาจเกิดขึ้นที่หัวนมหรือบริเวณเต้าส่วนใหญ่ เริ่มต้นเป็นเพียงผื่นแดงแสบๆ คันๆ แม้จะรักษาโดยแพทย์ผิวหนังแล้วยังไม่หายขาดจนกลายเป็นแผลตกสะเก็ดแข็ง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยมะเร็งเต้านมอีกครั้ง เนื่องจากอาจเกิดจากเซลล์มะเร็งลามขึ้นมาที่ผิวหนังด้านบนบริเวณหัวนมหรือเต้านมแล้ว
ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม โดยมีปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงมากมาย ทั้งอายุ พันธุกรรม และพฤติกรรมการใช้ชีวิต การป้องกันที่ดีคือหมั่นสำรวจความผิดปกติของร่างกายและเต้านมสม่ำเสมอ หากพบสัญญาณเตือนมะเร็งเต้านม ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ขอบคุณนพ. ชนินทร์ อภิวาณิชย์ โรงบาลสมิติเวช