งานวิจัยภูมิคุ้มกันมะเร็งอะอุเรโอะ บาซีเดียมเบต้ากลูแคนแพทย์ทางเลือก

พลิกวงการแพทย์! 3 นักวิทย์ฯ คว้าโนเบลปี 2568 จากการค้นพบ “ผู้พิทักษ์” แห่งระบบภูมิคุ้มกัน

Views

พลิกวงการแพทย์! 3 นักวิทย์ฯ คว้าโนเบลปี 2568 จากการค้นพบ “ผู้พิทักษ์” แห่งระบบภูมิคุ้มกัน

วันที่ 7 ตุลาคม 2568 – ณ กรุงสตอกโฮล์ม คณะกรรมการรางวัลโนเบลได้ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ประจำปี 2568 (ค.ศ. 2025) ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ 3 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ชิมอน ซาคากุจิ (Shimon Sakaguchi) จากประเทศญี่ปุ่น, ดร.แมรี บรุนโคว (Mary Brunkow) และ ดร.เฟรด แรมส์เดลล์ (Fred Ramsdell) จากสหราชอาณาจักร จากผลงานการค้นพบกลไกพื้นฐานที่ไขปริศนาสำคัญที่สุดข้อหนึ่งของร่างกายมนุษย์: “ทำไมระบบภูมิคุ้มกันจึงไม่โจมตีร่างกายของตัวเอง?”

การค้นพบ “Regulatory T-cells” (Tregs) และยีนหลักที่ควบคุมมันอย่าง “Foxp3” ได้เปิดศักราชใหม่ในการทำความเข้าใจและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ตั้งแต่โรคแพ้ภูมิตัวเองไปจนถึงโรคมะเร็ง

ปริศนาพื้นฐาน: ระบบ “แยกมิตร-ศัตรู” ของร่างกาย

ระบบภูมิคุ้มกันของเราเปรียบเสมือนกองทัพที่ซับซ้อน มีเซลล์เม็ดเลือดขาวหลายล้านล้านเซลล์ที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนและกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น ไวรัสและแบคทีเรีย แต่เนื่องจากเซลล์ภูมิคุ้มกันถูกสร้างขึ้นมาอย่าง “สุ่ม” เพื่อให้สามารถรับมือกับศัตรูได้หลากหลายรูปแบบ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมี “ทหาร” บางส่วนที่อาจเข้าใจผิดและหันมาโจมตีเซลล์ปกติของร่างกายเราเองได้

นักวิทยาศาสตร์ทราบมานานแล้วว่า “ทหารที่อาจเป็นอันตราย” เหล่านี้ส่วนหนึ่งจะถูกกำจัดตั้งแต่ใน “ค่ายฝึก” ซึ่งก็คือ ต่อมไทมัส (Thymus) แต่คำถามที่ค้างคาใจมาตลอดคือ แล้วทหารที่เล็ดลอดออกมาปฏิบัติการทั่วร่างกายล่ะ? มีกลไกอะไรคอยควบคุมไม่ให้พวกเขาก่อ “การปฏิวัติ” และทำร้ายร่างกายตัวเอง?

การค้นพบครั้งประวัติศาสตร์: จากห้องทดลองสู่ความเข้าใจใหม่

รางวัลโนเบลในปีนี้มอบให้แก่การค้นพบจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ไขปริศนานี้:

  1. การค้นพบ “ผู้พิทักษ์” (ทศวรรษ 1990s): ศ.ซาคากุจิ ได้แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกในปี 1995 ว่าในบรรดาเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell นั้น มีเซลล์กลุ่มพิเศษอยู่กลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ทำหน้าที่โจมตี แต่กลับทำหน้าที่ “ควบคุมและยับยั้ง” การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ ไม่ให้ทำงานมากเกินไป เขาได้พิสูจน์ว่าหากนำเซลล์กลุ่มนี้ออกจากร่างกาย จะทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างรุนแรง
  2. การค้นพบ “ยีนควบคุมหลัก” (ปี 2001): ดร.บรุนโคว และ ดร.แรมส์เดลล์ ได้ค้นพบ “ยีน” สำคัญที่ชื่อว่า Foxp3 ขณะศึกษาหนูทดลองสายพันธุ์พิเศษที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างรุนแรง พวกเขาพบว่าการกลายพันธุ์ของยีน Foxp3 เพียงยีนเดียว คือสาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของหนูและมนุษย์ (ในโรคที่เรียกว่า IPEX syndrome) เกิดการโจมตีตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
  3. การเชื่อมโยงจิ๊กซอว์ (ปี 2003): ศ.ซาคากุจิ และทีมวิจัยอื่นๆ สามารถเชื่อมโยงการค้นพบทั้งสองเข้าด้วยกันได้สำเร็จ โดยพิสูจน์ว่า ยีน Foxp3 คือ “สวิตช์หลัก” ที่ควบคุมการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ “ผู้พิทักษ์” ที่เขาค้นพบ เซลล์กลุ่มนี้จึงได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Regulatory T-cells” หรือ Tregs

เหรียญสองด้าน: สู่แนวทางการรักษาแห่งอนาคต

การค้นพบ Tregs และ Foxp3 ได้เปิดประตูสู่การรักษาโรคใน 2 ทิศทางตรงกันข้าม:

  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Diseases): ในโรคเหล่านี้ (เช่น โรคพุ่มพวง, ข้ออักเสบรูมาตอยด์) Tregs ทำงานได้ไม่ดีพอหรือไม่เพียงพอ แนวทางการรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การ “เพิ่มจำนวนหรือเสริมประสิทธิภาพ” ของ Tregs เพื่อให้มันกลับไปควบคุมระบบภูมิคุ้มกันที่เกรี้ยวกราดให้สงบลง
  • โรคมะเร็ง (Cancer): เซลล์มะเร็งมีความสามารถในการ “หลอกใช้” Tregs ให้มาปกป้องตัวมันเองจากการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกัน! แนวทางการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดสมัยใหม่จึงมุ่งเน้นไปที่การ “ยับยั้งหรือกำจัด” Tregs ที่อยู่ในบริเวณก้อนมะเร็ง เพื่อ “ปลดเบรก” ให้เซลล์ภูมิคุ้มกันกลับมาทำลายมะเร็งได้อีกครั้ง

มุมมองการแพทย์เชิงบูรณาการ: การสร้างสมดุลให้ “ภูมิคุ้มกัน”

ข้อควรทราบ: การรักษาโดยตรงที่เซลล์ Tregs เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงที่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ การแพทย์เชิงบูรณาการ (Integrative Medicine) การค้นพบนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม วิถีชีวิตและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มีผลต่อการทำงานของกองทัพภูมิคุ้มกันของเรา:

  • สุขภาพลำไส้ (Gut Health): จุลินทรีย์ในลำไส้มีบทบาทสำคัญในการ “ฝึกสอน” และปรับสมดุลของเซลล์ T-cell ชนิดต่างๆ รวมถึง Tregs
  • การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังส่งผลกระทบต่อสมดุลของฮอร์โมนและระบบภูมิคุ้มกัน
  • โภชนาการต้านการอักเสบ: การรับประทานอาหารที่ดีย่อมส่งเสริมสภาพแวดล้อมในร่างกายที่เอื้อต่อการทำงานของภูมิคุ้มกันที่สมดุล

การค้นพบครั้งประวัติศาสตร์นี้ไม่เพียงแต่ให้ความหวังใหม่ๆ แก่ผู้ป่วย แต่ยังย้ำเตือนเราว่า การทำความเข้าใจกลไกพื้นฐานอันน่าทึ่งของร่างกาย คือจุดเริ่มต้นที่ทรงพลังที่สุดในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์เพื่ออนาคตของมวลมนุษยชาติ

อ้างอ้ง

https://www.nobelprize.org/prizes/medicine/

Leave a Reply