เคมีบำบัดหรือคีโม เป็นการรักษาโรคมะเร็งที่มีผลข้างเคียงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อาการคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง หรือท้องผูก การดูแลฟื้นฟูร่างกายหลังคีโมให้กลับมาแข็งแรงจึงถือเป็นขั้นตอนที่ควรเอาใจใส่ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เคมีบำบัด คืออะไร
.jpg)
เคมีบำบัด หรือ คีโม (Chemotherapy) คือ การรักษามะเร็งด้วยยาที่ออกฤทธิ์ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยสามารถทำได้ผ่านการให้ยาทางหลอดเลือดดำ การรับประทานยาเม็ด หรือการฉีดยา เมื่อตัวยาเข้าสู่กระแสเลือดก็จะกระจายไปทั่วร่างกาย เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งตามอวัยวะต่างๆ
และเนื่องจากเราไม่สามารถจำกัดการออกฤทธิ์ของคีโมให้มีผลเพียงแค่กับเซลล์มะเร็งได้ เซลล์อื่น ๆ ในร่างกายจึงได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้เกิดเป็นผลข้างเคียงหรืออาการแพ้คีโมนั่นเอง อย่างไรก็ดี เซลล์ที่มีสุขภาพดีเหล่านี้สามารถฟื้นตัวได้เร็ว และจะกลับมาทำงานปกติเมื่อจบการรักษา
ทำไมการฟื้นฟูร่างกายหลังคีโมถึงเป็นเรื่องสำคัญ
ขั้นตอนการรักษาโรคมะเร็งด้วยคีโม ส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย โดยอาการผลข้างเคียงของคีโมย่อมรบกวนกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยและทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง การฟื้นฟูร่างกายหลังคีโมหรือในช่วงพักฟื้นจึงเป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจ เพื่อดูแลร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้แข็งแรงได้มากที่สุดและช่วยให้การรักษาเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ผลข้างเคียงและวิธีการดูแลผู้ป่วยหลังคีโม
ยาเคมีบำบัดบางชนิดอาจส่งผลต่อเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการชาหรือเสียวปลายมือปลายเท้า รู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง รวมถึงมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินเซ หรือทรงตัวลำบาก อาการเหล่านี้เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย และอาจเกิดขึ้นชั่วคราวหรือยาวนานขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังรับการรักษา แต่เราก็มีวิธีที่จะช่วยให้อาการเหล่านี้ทุเลาลงได้ โดยวิธีการดูแลผู้ป่วยหลังเคมีบำบัดตามอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย สามารถทำได้ดังนี้
- คลื่นไส้ อาเจียน
 
เป็นอาการที่พบได้บ่อย มักเป็นหนักในช่วง 24 ชั่วโมงหลังรับคีโม
วิธีดูแล: ใช้ยาแก้คลื่นไส้เพื่อบรรเทาอาการ และแบ่งมื้ออาหารในแต่ละวันเป็นมื้อย่อย 5-6 มื้อ เพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังอาหาร
- เบื่ออาหาร
 
คีโมทำให้การรับรู้รสชาติอาหารเปลี่ยนไป เมื่อเกิดร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน จะยิ่งทำให้ผู้ป่วยเบื่ออาหาร ไม่อยากทาน จนน้ำหนักตัวลดลงและร่างกายอ่อนแรง
วิธีดูแล: ทานอาหารให้น้อยแต่บ่อยขึ้น มองหาตัวเลือกที่ทานง่าย เช่น สมูธตี้ โปรตีนเชค หรือซุป และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุน
- ท้องผูก
 
เคมีบำบัดมีผลทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้เสียสมดุล ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ช้าลง
วิธีดูแล: ควรจิบน้ำบ่อย ๆ และเลือกทานอาหารที่มีกากใยสูง รวมถึงใช้ยาแก้ท้องผูกเพื่อบรรเทาอาการ
- ผมร่วง
 
เป็นอาการที่พบบ่อยในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังรับเคมีบำบัด เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ที่ที่เจริญเติบโตเร็วอย่าง เส้นผม เซลล์ผิว และเซลล์เยื่อบุช่องปาก
วิธีดูแล: ตัดผมให้สั้นเพื่อให้ดูแลได้ง่ายขึ้น ใช้หวีแปรงที่มีความอ่อน และไม่สระผมบ่อย โดยผมจะเริ่มงอกอีกครั้งเมื่อจบการรักษา
- ปากแห้ง เจ็บปาก เป็นแผลในปากง่าย
 
เคมีบำบัดทำให้ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายได้น้อยลง จึงทำให้เกิดอาการปากแห้งและเป็นแผลในช่องปากได้ง่าย
วิธีดูแล: เลือกทานอาหารอ่อน และจิบน้ำบ่อยๆ หรือใช้วิธีอมน้ำแข็งก้อนเล็กระหว่างวัน เพื่อป้องกันไม่ให้ปากแห้ง และควรบ้วนปากทุกครั้งหลังทานอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพช่องปาก และใช้แปรงสีฟันขนนุ่มเพื่อป้องกันการเกิดแผล
- ผิวแห้ง คัน ระคายเคืองง่าย
 
เป็นอีกหนึ่งอาการที่พบบ่อยหลังทำคีโม โดยผิวหนังจะมีความไวต่อแสงแดดและสิ่งเร้าต่าง ๆ ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย
วิธีดูแล: ทาโลชั่นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว และหลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรง
- เม็ดเลือดขาวต่ำ ติดเชื้อง่าย
 
ตัวยาเคมีบำบัดมีฤทธิ์ในการกดการทำงานของไขกระดูก ทำให้ระดับเม็ดเลือดขาวต่ำลง ซึ่งมีผลทำภูมิคุ้มกันตก เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
วิธีดูแล: รักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดหรือใกล้ชิดผู้ป่วยคนอื่น รวมถึงสถานที่ที่มีมลพิษทางอากาศด้วย
อาการผิดปกติหลังเคมีบำบัด ที่ควรระวัง
- ท้องเสียและอาเจียนรุนแรง
 - อาการหนาวสั่น มีไข้สูง
 - มีผื่นขึ้นตามตัว หรือผิวหนังเป็นจ้ำเลือด
 - อาการหน้ามืด เหนื่อยหอบ หรือใจสั่น
 - แผลในช่องปากเกิดการอักเสบรุนแรง มีแผลหลายจุด
 - มีเชื้อราลักษณะเป็นฝ้าสีขาวในช่องปาก
 - ปัสสาวะผิดปกติ เช่น มีเลือดปน ปัสสาวะแสบคัด หรือไม่ปัสสาวะนานถึง 8 ชั่วโมง
 
โดยหากผู้ป่วยมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากเป็นผลข้างเคียงที่อันตราย
			