SLE

โรคพุ่มพวง โรคที่ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย

Views

โรคเอสแอลอี (SLE) หรือ โรคลูปัส ที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจและเรียกว่า“โรคพุ่มพวง” เป็นโรคที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันเยอะเกินไป ทำให้เกิดการทำลายตัวเอง ซึ่งโดยปกติดภูมิคุ้มกันในร่างกายคนเราจะมีไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือว่าไวรัส แต่ในเมื่อมันมีมากจนเกินไปทำให้ภูมิคุ้มกันมันมองว่าเนื้อเยื่อบางอย่างในร่างกายเป็นสิ่งแปลกปลอม แล้วส่งปฏิกิริยาในลักษณะของการอักเสบ เพื่อที่จะทำลายที่เรียกว่าปฏิกิริยาในเชิงทำลาย โดยการส่งเม็ดเลือดขาวแล้วผลิตตัวภูมิที่จะทำลายนี้เข้าไปทำลายส่วนต่างๆของร่างกาย  โดยมากกว่า 80% ของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผู้หญิง

เอสแอลอี

อาการ 

-มีไข้ และอ่อนเพลีย

กล้ามเนื้ออ่อนแรง

ปวดตามข้อต่างๆ

มีผื่นขึ้นตามใบหน้า และผิวหนัง

มีเลือดออกมาทางปัสวะ

มีอาการลักษณะซึมเศร้า เครียด

»»»แต่โดยอาการแล้วจะมีความแตกต่างกันในตัวคนไข้แต่ละคน เพราะว่าขึ้นอยู่กับว่าตัวภูมิคุ้มกันที่ทำลายนี้ได้เข้าไปมีปฏิกิริยาต่ออวัยวะส่วนใด

สาเหตุ  ไม่พบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคนี้ เพียงแต่มีการสันนิษฐานในกลุ่มที่มีความเป็นไปได้สูง จากผลการวิจัยต่างๆว่าน่าจะมีสาเหตุหลักๆที่สำคัญ ดังนี้

– ทางพันธุกรรม เช่นมีญาติพี่น้อง หรือคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง

– การติดเชื้อในร่างกาย โดยภูมิคุ้มกันพยายามจะเข้าไปทำลาย แต่ไม่สามารถทำลายได้ จึงเกิดการต่อสู้และสับสนกับอวัยวะที่เชื้อโรคฝังอยู่

– ฮอร์โมนเฮสโตรเจน โดยเฉพาะในสตรีวัยเจริญพันธุ์ ช่วงเปลี่ยนแปลงระหว่างการมีประจำเดือน มีครรภ์ แ่ละการใช้ยาคุมกำเนิด

– แสงแดด และสารเคมีบางชนิด

ลูปัส

การรักษา 

ใช้ยาสเตรียรอยด์หรือยากดภูมิเป็นหลัก แต่ผลข้างเคียงอาจจะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อง่าย ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องดูแลตัวเองให้ดี เพราะหากไม่ใช้ยาตามแพทย์สั่่งอาจมีผลทางไตแล้วทำให้เกิดไตวายได้

การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วย 

อย่าโดนแสงแดด

เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

ออกกำลังกาย

พักผ่อนให้เพียงพอ

ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด

พยายามทำจิตใจให้สบาย หลีกเลี่ยงความเครียด

สำหรับผู้ป่วยโรค SLEพยายามดูแลและรักษาตัวเองให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป และถึงแม้โรคนี้จะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ก็ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ถ้าหากไม่ดูแลตัวเองให้ดี และไม่มีการใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างสม่ำเสมออาจส่งผลให้เกิดภาวะต่อไต และทำให้เกิดไตวายถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกันค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูล:สาระเร็ว.com