“นอนกรน” ไม่ใช่เรื่องปกติ: สัญญาณเตือนและวิธีรับมือตามหลักวิทยาศาสตร์
เสียงกรนอาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่สร้างความรำคาญให้กับคนนอนข้างๆ แต่ในทางการแพทย์ การนอนกรนที่ดังและเกิดขึ้นเป็นประจำอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะสุขภาพที่อันตรายกว่าที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น” (Obstructive Sleep Apnea – OSA) ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างจริงจัง
บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสาเหตุของการนอนกรน วิธีการจัดการเบื้องต้น และเมื่อไหร่ที่คุณควรไปพบแพทย์
ทำความเข้าใจกลไกการเกิด “เสียงกรน”
เสียงกรนเกิดจากการที่ทางเดินหายใจส่วนบน—ตั้งแต่ด้านหลังโพรงจมูกไปจนถึงกล่องเสียง—เกิดการตีบแคบลงขณะนอนหลับ เมื่อเราหลับ กล้ามเนื้อในบริเวณลำคอจะคลายตัว ทำให้ลิ้นไก่, เพดานอ่อน, และโคนลิ้นหย่อนลงมาขวางทางเดินหายใจ เมื่ออากาศพยายามเคลื่อนที่ผ่านช่องทางที่แคบลงนี้ จะทำให้เนื้อเยื่ออ่อนเกิดการสั่นสะเทือนและกลายเป็นเสียงกรนที่เราได้ยิน (Ramar & Hershner, 2021)
การกรนสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก:
- การกรนธรรมดา (Primary Snoring): เป็นการกรนที่ไม่รุนแรงและไม่มีภาวะหยุดหายใจหรือระดับออกซิเจนในเลือดต่ำร่วมด้วย
- การกรนที่เป็นอาการของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA): เป็นการกรนที่ดังและไม่สม่ำเสมอ โดยจะมีช่วงที่หยุดหายใจเป็นพักๆ ตามมาด้วยเสียงหายใจเฮือกหรือสำลัก ซึ่งเป็นภาวะที่อันตราย
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด เนื้อเยื่อไขมันที่สะสมรอบลำคอจะเพิ่มแรงกดและทำให้ทางเดินหายใจแคบลง (Young et al., 2002)
- อายุที่เพิ่มขึ้น: กล้ามเนื้อจะสูญเสียความตึงตัวตามวัย ทำให้หย่อนลงมาอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
- เพศ: เพศชายมีแนวโน้มที่จะนอนกรนและเป็น OSA มากกว่าเพศหญิง (ในวัยก่อนหมดประจำเดือน)
- โครงสร้างทางกายภาพ: เช่น มีเพดานอ่อนหรือลิ้นไก่ยาว, ต่อมทอนซิลโต, ผนังกั้นช่องจมูกคด, หรือคางสั้น
- การดื่มแอลกอฮอล์และการใช้ยาบางชนิด: แอลกอฮอล์และยากล่อมประสาทจะทำให้กล้ามเนื้อลำคอคลายตัวมากกว่าปกติ ทำให้ทางเดินหายใจยุบตัวลงได้ง่าย (Scanlan et al., 2000)
- การสูบบุหรี่: ทำให้เกิดการอักเสบและบวมของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจ (Kashima, 2007)
- ท่านอน: การนอนหงายทำให้แรงโน้มถ่วงดึงโคนลิ้นให้ตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าการนอนตะแคง (Oksenberg et al., 1997)
เมื่อไหร่ที่ “เสียงกรน” เป็นสัญญาณอันตรายของ OSA?
ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินทันที หากการนอนกรนของคุณมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย:
- มีคนบอกว่าคุณ หยุดหายใจ เป็นพักๆ ขณะหลับ ตามด้วยเสียงหายใจเฮือกหรือสำลัก
- ง่วงนอนมากผิดปกติในตอนกลางวัน แม้จะนอนหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม
- ตื่นนอนตอนเช้าพร้อมกับอาการ ปวดศีรษะ หรือ ปากแห้งคอแห้ง
- ไม่มีสมาธิ, หงุดหงิดง่าย, หรือมีความจำแย่ลง
ภาวะ OSA ที่ไม่ได้รับการรักษาจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายแรงต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจขาดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke), และโรคเบาหวาน (Jean-Louis et al., 2008)
แนวทางการจัดการและรักษาที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestyle Modification):
- การลดน้ำหนัก: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด การลดน้ำหนักเพียง 10% สามารถลดความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับลงได้อย่างมีนัยสำคัญ (Tuomilehto et al., 2009)
- ปรับท่านอน (Positional Therapy): พยายามนอนตะแคงแทนการนอนหงาย
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยากล่อมประสาท โดยเฉพาะ 3-4 ชั่วโมงก่อนนอน
- เลิกสูบบุหรี่
- การรักษาทางการแพทย์:
- เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP – Continuous Positive Airway Pressure): เป็น “มาตรฐานทองคำ” ในการรักษาภาวะ OSA ระดับปานกลางถึงรุนแรง เครื่องจะเป่าลมผ่านหน้ากากเพื่อสร้างแรงดันไปถ่างขยายทางเดินหายใจไม่ให้ยุบตัวขณะหลับ (Giles et al., 2006)
- อุปกรณ์ในช่องปาก (Oral Appliance Therapy): เป็นอุปกรณ์ที่ทันตแพทย์ทำขึ้นเฉพาะบุคคลเพื่อยื่นขากรรไกรล่างมาข้างหน้าเล็กน้อย ช่วยเปิดทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการกรนธรรมดาหรือ OSA ระดับไม่รุนแรง (Lim et al., 2006)
- การผ่าตัด (Surgery): ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีโครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติอย่างชัดเจน หรือไม่สามารถทนต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นได้
บทสรุป: อย่ามองข้ามเสียงกรนที่ดังผิดปกติ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่น่าสงสัย ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยคืนความสงบสุขให้คนนอนข้างๆ แต่ยังช่วยปกป้องสุขภาพและชีวิตของคุณในระยะยาวอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
- Giles, T. L., Lasserson, T. J., Smith, B. H., White, J., Wright, J., & Cates, C. J. (2006). Continuous positive airways pressure for obstructive sleep apnoea in adults. Cochrane Database of Systematic Reviews, 2006(1), CD001106. https://doi.org/10.1002/14651858.CD001106.pub2
- Jean-Louis, G., Zizi, F., Clark, L. T., Brown, C. D., & McFarlane, S. I. (2008). Obstructive sleep apnea and cardiovascular disease: role of the metabolic syndrome and its components. Journal of Clinical Sleep Medicine, 4(3), 261–272. https://doi.org/10.5664/jcsm.27191
- Kashima, M. L. (2007). The effects of smoking and drinking on the severity of obstructive sleep apnea. The Laryngoscope, 117(7), 1262–1266. https://doi.org/10.1097/MLG.0b013e3180616140
- Lim, J., Lasserson, T. J., Fleetham, J., & Wright, J. (2006). Oral appliances for obstructive sleep apnoea. Cochrane Database of Systematic Reviews, 2006(1), CD004435. https://doi.org/10.1002/14651858.CD004435.pub2
- Oksenberg, A., Khamaysi, I., & Silverberg, D. S. (1997). Association of body position with the severity of apneic events in patients with severe obstructive sleep apnea. The Laryngoscope, 107(3), 423-426. https://doi.org/10.1097/00005537-199703000-00028
- Ramar, K., & Hershner, S. D. (2021). Snoring in adults. In UpToDate. Retrieved September 30, 2025, from https://www.uptodate.com/contents/snoring-in-adults (Subscription required)
- Scanlan, M. F., Roebuck, T., Little, P. J., Redman, J. R., & Naughton, M. T. (2000). Effect of moderate alcohol upon obstructive sleep apnoea. The European Respiratory Journal, 16(5), 909–913. https://doi.org/10.1183/09031936.00.16590900
- Tuomilehto, H., Seppä, J., Partinen, M., Peltonen, M., Gylling, H., Tuomilehto, J., & Uusitupa, M. (2009). Lifestyle intervention with weight reduction: first-line treatment in mild obstructive sleep apnea. American Journal of Respiratory and Critical Care Medicine, 179(4), 320–327. https://doi.org/10.1164/rccm.200803-424OC
- Young, T., Peppard, P. E., & Gottlieb, D. J. (2002). Epidemiology of obstructive sleep apnea: a population health perspective. American Journal of Respiratory and Critical Care Medicine, 165(9), 1217–1239. https://doi.org/10.1164/rccm.2109080
- American Academy of Sleep Medicine. (2017). International Classification of Sleep Disorders (3rd ed.). AASM.