HIV

โรคเอดส์ จุดจบของสายล่า! สาเหตุ อาการ การรักษา

Views

ในอดีต โรคเอดส์ คือโรคติดต่อร้ายแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ในระยะเวลาอันสั้น ใครที่ติดเชื้อเอดส์ในช่วงเวลานั้น จะเป็นที่รังเกียจของสังคมเป็นอย่างมาก ถูกตีตราว่าเป็นพวก มักมากในกาม มีเซ็กซ์มั่วไปทั่วจนทำให้ติดเชื้อHIV หรือ โรคเอดส์! แต่หลังจากโลกได้มีการวิจัยเกี่ยวกับโรคเอดส์มากขึ้นตามลำดับ จึงทำให้ผู้คนเข้าใจ และเริ่มยอมรับ-เปิดใจ ให้กับผู้ป่วยโรคเอดส์มากขึ้นนั่นเอง งั้นมาดูกันดีกว่าว่า โรคเอดส์ มีสาเหตุ อาการ และการรักษาอย่างไรบ้าง…

โรคเอดส์ คืออะไร มาจากไหน?

โรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี (มีชื่อเต็มว่า Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โดยมีเชื้อเอชไอวีสองชนิดที่ติดต่อมายังมนุษย์ คือเอชไอวี-1 และเอชไอวี-2 โดย เอชไอวี-1 นั้นเป็นอันตรายมากกว่า ติดต่อง่ายกว่า และเป็นสาเหตุของการติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่บนโลกนี้

มีการสันนิษฐานกันว่าโรคเอดส์นี้น่าจะมีต้นตอมาจากลิงในทวีปแอฟริกา ต่อมาจึงมีการติดเชื้อไวรัสจากลิงมาสู่คน และมีการวิวัฒนาการจนกลายเป็นสายพันธุ์ที่เป็นอันตราย ต่อมนุษย์

ไวรัสเอดส์อยู่ในส่วนใดของร่างกายบ้าง ?

ไวรัสเอดส์พบมากที่สุดในเลือด น้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่าง ๆ รองลงมาคือ น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระแทบไม่พบเลย ฉะนั้นการจูบปากกันจึงไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้

โรคเอดส์ ติดต่อกันได้อย่างไรบ้าง ?

1. การร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยไม่ว่าช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติ ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และจากข้อมูลของกองระบาดวิทยาพบว่าร้อยละ 83 ของผู้ป่วยเอดส์ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์

2. การรับเชื้อทางเลือด ใช้เข็ม หรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นโรคเอดส์

อ้างอิงจาก : http://www.thaiplus.net/?q=node/184

เอชไอวี (HIV) และ เอดส์ (AIDS) ต่างกันอย่างไร?

HIV คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิด โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งย่อมาจาก Acquired Immune Deficiency Syndrome ซึ่งเชื้อไวรัส HIV และโรคเอดส์ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเอดส์เสมอไป ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม

กระบวนการการเกิดโรคเอดส์มีอยู่ว่า เมื่อเชื้อไวรัส HIV เข้าทำลายเม็ดเลือดขาว CD4 ในร่างกายจนมีปริมาณไม่เพียงพอ ร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และติดเชื้อหลายชนิด เมื่อใดที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมากๆ คุณจะติดเชื้ออย่างรุนแรงนั่นคือโรคเอดส์ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด โดยส่วนมากหากติดเชื้อไวรัส HIV แล้วไม่ได้รับการรักษามักจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี ในการพัฒนาไปเป็นโรคเอดส์

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี จะเกิดอาการต่าง ๆ ของโรค 3 ระยะด้วยกัน ดังนี้

1. ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infectious) เป็นระยะแรกของการติดเชื้อเอชไอวี (ระยะแรกนี้ยังไม่เรียกว่า โรคเอดส์) เกิดขึ้นระหว่าง 2-4 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะเริ่มมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่นและปวดหัว อาการผิดปกติของผู้ป่วยในระยะแรกนี้จะมีน้อย และสามารถหายไปเองได้ในเวลา 2 ถึง 4 สัปดาห์

2. ระยะสงบทางคลินิก (Clinical Latency Stage) ระยะนี้ของโรคก็ยังไม่เรียกโรคเอดส์ เช่นกัน ผู้ติดเชื้ออาจจะมีเชื้อราขึ้นที่ลิ้น หรือมี วัณโรค ปอดกำเริบ โรคเริม หรือโรคงูสวัด เกิดขึ้นได้ แต่อาการมักไม่รุนแรงมาก บางครั้งเรียกระยะนี้ว่า ระยะติดเชื้อเรื้อรัง (chronic HIV infection) หรือ ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ (asymptomatic HIV infection) ในระยะนี้ไวรัสจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นในระดับต่ำ และมักจะใช้เวลานานถึง 10 ปี แต่สำหรับผู้ติดเชื้อบางคนอาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น

3. ระยะโรคเอดส์ (AIDS) เป็นระยะที่การติดเชื้อเอชไอวีได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์ ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมีปริมาณเซลล์ CD4 อยู่ระหว่าง 500 ถึง 1,600 ในขณะที่ผู้ป่วยโรคเอดส์มี CD4 ต่ำกว่า 200 เมื่อถึงจุดนี้ระบบภูมิคุ้มกันได้ถูกทำลายอย่างรุนแรงจนผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections)ในอวัยวะสำคัญอย่างรุนแรง เช่น ปอด มีอาการทางสมอง และมีมะเร็งชนิดต่างๆเกิดขึ้นได้ ที่พบบ่อย คือ โรคมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi sarcoma) และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีอาการท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นประจำ

ส่วนอาการร่วมอื่น ๆ จะมีดังนี้

  • มีอาการหนาวสั่น และเหงื่อออกในเวลากลางคืน
  • มีไข้สูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียสติดต่อกันเป็นเวลานาน อ่อนเพลียอย่างรุนแรง
  • มีจุดสีขาวภายในช่องปาก
  • เกิดผื่นตามตัว มีสีน้ำตาล แดง ม่วงหรือชมพู
  • มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
  • น้ำหนักลดลงผิดปกติ
  • มีอาการไออย่างต่อเนื่อง และมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
  • ปอดบวม
  • ปวดศีรษะเรื้อรัง
  • มีปัญหาเรื่องความจำ

สรุปแล้ว เราจะเรียกโรคเอดส์ต่อเมื่อผู้ป่วยเป็นถึงระยะที่ 3 แล้วเท่านั้น ทั้งนี้อาการของการติดเชื้อเอชไอวี อาจเป็นอาการของโรคอื่น ๆ ก็ได้ จึงควรทำการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี (HIV test) อย่ากลัว อย่าอาย เพื่อประโยชน์ และรับการรักษาที่ตรงจุดต่อตัวเราเอง

โรคเอดส์

โรคเอดส์ รักษาให้หายได้หรือไม่?

ขณะนี้ยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ เป็นเพียงยับยั้งไม่ให้ไวรัสเอดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้นในร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวได้อีกนาน

PrEP ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้นะ!

PrEP (เพร็พ) ย่อมาจาก pre-exposure prophylaxis หมายถึง การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ ก่อนมีการสัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากการสัมผัสนั้น

โดย PrEP จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้ที่มีคู่เป็นผลเลือดบวก และคู่ที่กำลังรอเริ่มยาต้านเอชไอวีอยู่, ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย, ชายหรือหญิงที่ทำงานบริการ เป็นต้น

การรับประทานPrEP จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากต้องมีการเจาะเลือดติดตาม และต้องเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ รวมไปถึงอาจส่งผลต่อกระดูก หรือไตในระยาวได้

ข้อควรปฎิบัติในชีวิตประจำวันของผู้มีเชื้อเอดส์

  1. คบหาสมาคมกับผู้อื่นได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนหรือเก็บตัวอยู่คนเดียว การพูดคุย แตะเนื้อต้องตัวกันตามธรรมดา ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นติดโรคจากท่านได้
  2. ใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่นได้ปกติ แต่ ควรระมัดระวังมิให้สารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำเหลือง น้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ และสิ่งขับถ่ายต่าง ๆ รวมถึงประจำเดือน กระเด็น หรือเปรอะเปื้อนโถส้วม อ่างล้างมือ และผู้อื่นที่ใช้ห้องน้ำร่วมกัน
  3. ล้างถ้วย ชาม จาน แก้วน้ำ ให้สะอาด แล้วทิ้งให้แห้งก่อนนำไปใช้
  4. ไม่ใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
  5. ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์
  6. งดการบริจาคโลหิตโดยเด็ดขาด รวมถึงอวัยวะต่าง ๆ เช่น ดวงตา ไต น้ำอสุจิ เป็นต้น
  7. ควรพบแพทย์โดยใกล้ชิดเป็นระยะ ๆ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ขอขอบคุณ:gedgoodlife.com

Leave a Reply