โรคเกาต์

มารู้จัก เก๊าท์ สาเหตุ และอาการ

Views

เก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบที่ทำให้มีอาการปวดแสบร้อน บวม แดงตามข้อต่ออย่างเฉียบพลันเป็นระยะ ๆ อาจเกิดขึ้นกับข้อต่อเดียวหรือหลายข้อต่อพร้อมกัน

อาการของโรคเก๊าท์

อาการปวดอย่างรุนแรงตามข้อต่อเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้อต่อหลายส่วนตามร่างกายได้ เช่น ข้อเท้า ข้อศอก หัวเข่า ข้อต่อกระดูกมือ หรือข้อมือ อาการปวดจะรุนแรงในช่วง 4-12 ชั่วโมงแรก จากนั้นจะเริ่มปวดน้อยลงและมีอาการดีขึ้นภายใน 7-10 วัน แต่ในบางรายอาจมีอาการปวดได้นานหลายวันจนถึงหลายสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น   

  • ข้อต่อเกิดการอักเสบและติดเชื้อ อาจเกิดขึ้นกับข้อต่อเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อต่อ จนทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นสีแดง บวมแดง และแสบร้อน
  • เคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวกจากภาวะข้อติด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกความรุนแรงของโรคที่เพิ่มมากขึ้น
  • ผิวหนังบริเวณข้อต่อเกิดการลอกหรือคันหลังจากอาการของโรคดีขึ้น

อาการของโรคเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มักเป็น ๆ หาย ๆ จนกว่าจะได้รับการรักษา โดยมักเกิดขึ้นในเวลากลางคืนได้บ่อยกว่าช่วงเวลาอื่น อย่างไรก็ตามควรรีบไปพบแพทย์หากผู้ป่วยมีไข้ ปวดข้ออย่างรุนแรง จนทำให้ผิวหนังบวมแดงและแสบร้อนขึ้น เพราะอาการปวดข้ออาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดได้ว่าเป็นสัญญาณของโรคข้ออื่น ๆ การปล่อยให้โรคพัฒนารุนแรงขึ้นโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่อาการปวดอย่างเรื้อรังและสร้างความเสียหายให้กับข้อต่อได้

สาเหตุของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์เป็นผลมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นภาวะของร่างกายที่มีการสะสมของกรดยูริกในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เกิดการตกผลึกตามข้อต่าง ๆ จนเกิดอาการปวดบวมตามข้ออย่างรุนแรงและอาการอื่น ๆ ของโรคตามมา

กรดยูริกเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งในเลือดที่ได้มาจากการย่อยสลายสารพิวรีน (Purines) ในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายและอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยร่างกายจะมีการปรับสมดุลของกรดยูริกด้วยการกรองจากไตก่อนมีการขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ เมื่อมีปริมาณกรดยูริกมากขึ้นจากการสร้างของร่างกาย จากการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง หรือไตมีความผิดปกติในการกรองสารพิวรีน มักนำไปสู่ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น  

  • การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
  • การรับประทานอาหารทีมีสารพิวรีนมากเกินไป เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้งเคยหรือกะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ สารสกัดจากยีสต์
  • ได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ
  • การดื่มน้ำอัดลมเกินปริมาณที่พอดีต่อวัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำอัดลมประเภทที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอาจเพิ่มการสะสมกรดยูริกในเลือดได้สูงถึง 85% นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลไม้และน้ำผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่มาก
  • อาการเจ็บป่วยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น โรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง หรือความผิดปกติทางเลือดบางอย่าง
  • ยาบางประเภทที่ส่งผลต่อระดับกรดยูริกในร่างกาย เช่น ยาขับปัสสาวะ  ยาเคมีบำบัดบางชนิด ยาแอสไพริน และยาลดความดันโลหิตบางชนิด
  • โรคประจำตัวหรือสภาวะของร่างกายบางอย่าง เช่น ภาวะอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ไตทำงานผิดปกติ โรคเบาหวาน โรคพร่องเอนไซม์ ความผิดปกติของไขกระดูก โรคหลอดเลือดผิดปกติ
  • มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โดยพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย

การวินิจฉัยโรคเก๊าท์

แพทย์จะมีการสอบถามอาการ ประวัติการเป็นโรคเก๊าท์ของบุคคลในครอบครัว การตรวจร่างกายทั่วไป ตลอดจนดูสัญญาณบ่งบอกของโรคอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลช่วยในการวินิจฉัยโรค หลังจากนั้นจะมีการตรวจพิเศษเพิ่มเติมอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น

  • การเจาะข้อ มักถูกใช้เป็นวิธีหลักในการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะนำเข็มเจาะบริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อดูดเอาน้ำในข้อออกมาตรวจดูการสะสมของผลึกยูเรต (Urate Crystals) ภายใต้กล้องจุลทรรศน์
  • การตรวจเลือด เมื่อการตรวจวินิจฉัยโดยการเจาะข้อไม่สามารถทำได้ แพทย์อาจจะให้มีการเจาะเลือด เพื่อตรวจวัดระดับของกรดยูริกและสารครีเอตินินว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ แต่วิธีนี้อาจเกิดความผิดพลาดได้ เช่น ผู้ป่วยบางรายมีระดับกรดยูริกสูงผิดปกติ แต่อาจไม่เป็นโรคเก๊าท์ หรือบางรายที่มีอาการของโรคก็อาจตรวจพบระดับกรดยูริกได้ในระดับปกติ
  • การเอกซเรย์ การถ่ายเอกซเรย์บริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อตรวจดูว่าเกิดการอักเสบตามข้อหรือไม่
  • การอัลตราซาวด์ จะช่วยตรวจพบการสะสมของผลึกยูเรตตามข้อจนเป็นปุ่มนูนหรือก้อนที่เรียกว่า โทฟี่ (Tophi)  
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน เพื่อตรวจหาการสะสมของผลึกยูเรตตามข้อ แต่มักเป็นวิธีที่ไม่ค่อยนิยม และมีค่าใช้จ่ายสูง
  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูกรดยูริกที่ปะปนในน้ำปัสสาวะ

การรักษาโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาเป็นหลัก ซึ่งแพทย์จะพิจารณาดูจากหลายปัจจัยประกอบในการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ทั้งอาการของโรค สุขภาพโดยรวม หรือการพูดคุยกับผู้ป่วย ควบคู่กับการปฏิบัติตนเพื่อเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของโรค ในบางรายที่ปล่อยให้โรคดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รักษา แพทย์อาจใช้วิธีการผ่าตัดทดแทนการใช้ยา ซึ่งเป้าหมายของการรักษาจะช่วยในการบรรเทาอาการปวดให้ลดลงอย่างรวดเร็ว และป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดของโรคเก๊าท์ในบริเวณข้ออื่น ๆ ในอนาคต รวมไปถึงลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรค เช่น โครงสร้างข้อต่อผิดรูป ไตเกิดความผิดปกติ

การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคเก๊าท์ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางส่วนอาจมีส่วนช่วยให้อาการของโรคทุเลาลงได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ และไม่ทำให้เกิดการตกตะกอนในระบบทางเดินปัสสาวะที่นำไปสู่การเกิดนิ่วในไต
  • หลีกเลี่ยงหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ให้อยู่ในปริมาณที่พอดี
  • ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตส
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล สัตว์ปีก ถั่วบางชนิด สารสกัดจากยีสต์ แต่อาจทดแทนด้วยโปรตีนที่ได้จากผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ
  • ผู้ที่มีภาวะอ้วนควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ไม่ควรอดอาหารหรือลดน้ำหนักรวดเร็วจนเกินไป

การดูแลเพื่อลดอาการปวด ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการปวดในเบื้องต้นได้ด้วยการหยุดเคลื่อนไหวบริเวณที่มีอาการปวดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังมีอาการ โดยพยายามยกบริเวณข้อต่อที่ปวดให้อยู่สูง หากมีอาการบวมแดงอาจบรรเทาด้วยการประคบน้ำแข็ง หรือรับประทานยาในกลุ่มยาแก้ปวด ยาลดไข้ และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแอสไพริน

การรักษาด้วยการใช้ยา เป็นการใช้ยาในการบรรเทาอาการของโรคให้ลดลงและช่วยป้องกันอาการของโรคที่อาจกำเริบขึ้นในอนาคต ซึ่งตัวยาที่ใช้รักษาโรคเก๊าท์มีอยู่หลายกลุ่ม เช่น

  • ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory Drugs: NSAIDs) หรือที่รู้จักกันดีว่า ยาเอ็นเสด ซึ่งอาจเป็นยาที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น ยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) ยานาพรอกเซน (Naproxen) หรือแพทย์สั่งจ่าย เช่น ยาอินโดเมธาซิน (Indomethacin) ยาเซเลโคซิบ (Celecoxib) หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์อาจสั่งจ่ายยาในปริมาณที่สูงขึ้น แล้วค่อยลดปริมาณการใช้ยาลง เพื่อช่วยป้องกันอาการของโรคในอนาคต แต่ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง เกิดภาวะเลือดออก และแผลในกระเพาะอาหารได้   
  • ยาโคลชิซิน (Colchicine) แพทย์จะสั่งจ่ายยาโคลชิซินเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงแรกอาจมีการใช้ยาในปริมาณที่สูงก่อนจะลดปริมาณยาลงเมื่ออาการปวดของผู้ป่วยทุเลาลง แต่ผลข้างเคียงของการใช้ยาชนิดนี้อาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย
  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) โดยทั่วไปมักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยาต้านอักเสบหรือยาโคลชิซินได้ เพื่อช่วยควบคุมการอักเสบและอาการปวดของโรค มีทั้งรูปแบบยาเม็ดและยาฉีด ผลข้างเคียงของยาอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตตสูงขึ้น มีอารมณ์แปรปรวน

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง หรือไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงค่อนข้างมาก แพทย์อาจสั่งจ่ายยากลุ่มอื่นที่ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเก๊าท์ เช่น

  • ยายับยั้งการสร้างกรดยูริก (Xanthine Oxidase Inhibitors) เป็นยาที่ช่วยจำกัดการผลิตกรดยูริกของร่างกาย เช่น ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) ยาฟีบัคโซสตัต (Febuxostat) ซึ่งจะช่วยให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดอาการของโรคน้อยลงเช่นกัน แต่อาจส่งผลข้างเคียงให้เกิดผื่น คลื่นไส้ และลดการทำงานของตับ   
  • ยาช่วยขับกรดยูริก เป็นยาที่ช่วยเพิ่มการทำงานของไตให้มีการขับกรดยูริกออกมากับปัสสาวะมากขึ้น เช่น โพรเบเนซิด (Probenecid) ซึ่งทำให้กรดยูริกในเลือดมีปริมาณลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดอาการของโรคลดลงเช่นกัน แต่อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้น ปวดท้อง หรือเกิดนิ่วในไต ที่เป็นผลข้างเคียงของการใช้ยา

การผ่าตัด มักใช้ในกรณีที่อาการของโรคมีการพัฒนาจนรุนแรงขึ้นกลายเป็นปุ่มนูนหรือก้อนโทฟี่ เนื่องจากการสะสมของผลึกยูเรตตามเนื้อเยื่อและข้อต่อต่าง ๆ และการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร  

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์สามารถพัฒนาอาการของโรคให้รุนแรงมากขึ้นเมื่อไม่มีการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการของโรคบ่อยมากขึ้นไปจนถึงการเกิดก้อนโทฟี่หรือปุ่มนูนใต้ผิวหนังในหลายส่วนของร่างกาย เช่น ตามนิ้วมือ เท้า ข้อศอก หรือเอ็นร้อยหวาย แต่โดยปกติมักไม่ก่ออาการเจ็บปวด แต่เมื่ออาการของโรคกำเริบอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ปวดตามข้อ ข้อต่อบิดเบี้ยวจนผิดรูปไปจากเดิม นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดนิ่วในไตจากการสะสมของผลึกยูเรตในระบบทางเดินปัสสาวะของผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำงานของไตที่ปกติหรือเกิดภาวะไตวาย

การป้องกันโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์ยังไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง เนื่องจากการสะสมของผลึกยูเรตทีละน้อยในข้อต่อและเนื้อเยื่อรอบ ๆ เป็นเวลานานหลายปี จึงทำให้ทราบได้ยากว่าระดับกรดยูริกในเลือดอยู่เท่าใดจนกระทั่งเริ่มมีอาการของโรคแสดงขึ้นมา อีกทั้งสาเหตุที่ทำให้กรดยูริกเพิ่มขึ้นนั้นมาจากหลายปัจจัยและสรุปได้ไม่ชัดเจน

การป้องกันจึงเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นเดียวกับการปฏิบัติตนของผู้ป่วยที่เป็นโรค เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของโรคลง เช่น หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง โดยเฉพาะ อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และสัตว์ปีก ดื่มน้ำให้เพียงพอ ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม

ขอขอบคุณ https://www.pobpad.com

Leave a Reply