บทความสุขภาพทั่วไป

ปวดหัวบ่อยแค่ไหน ถึงเรียกว่า “ผิดปกติ”

Views

ใครๆ ก็ต้องปวดหัวกันมาบ้างแล้ว ปวดหัวได้ทุกที่ทุกเวลาทุกสถานการณ์ ตั้งแต่เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศร้อน เป็นไข้ และอื่นๆ ทุกเพศทุกวัยมีอาการปวดหัวได้หมด เพราะปวดหัวเป็นเพียงอาการ ไม่ใช่โรค คนจึงมองข้ามไปว่าทานยาหายก็จบ แต่จริงๆ แล้วอาการปวดหัวถือเป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว


ปวดหัวบ่อย กินยาแก้ปวดบ่อย เป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่?

พญ. จุฑาณัฐ ยศราวาส อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมอง โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า “เบื้องต้นการรักษาอาการปวดศีรษะนั้น เป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยากลุ่ม NSAIDS พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย เป็นต้น”

“แต่การรับประทานยาแก้ปวดนั้น ควรอยู่ในการแนะนำของแพทย์ หรือเภสัชกร เนื่องจากยาอาจมีผลข้างเคียง และเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ เช่น ยาพาราเซตามอลไม่ควรรับประทานเกิน 8 เม็ดต่อวัน เนื่องจากเป็นพิษต่อตับ และยากลุ่ม NSAIDs มีผลทำให้กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือมีผลต่อไตได้”

ปวดหัว สัญญาณของโรคอันตรายอื่นๆ ?

“นอกจากนี้อาการปวดศีรษะ อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงโรคที่มีสาเหตุเฉพาะ เช่น เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งภาวะ หรือโรคเหล่านี้มีอันตรายถึงแก่ชีวิต หรืออาจทุพพลภาพได้ หากได้รับการรักษาล่าช้า”

ปวดหัวแบบไหน ที่อันตราย ต้องไปพบแพทย์?

  • ปวดศีรษะรุนแรง กะทันหันแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
  • ก้มคอแล้วอาการปวดหัวเป็นมากขึ้น
  • ปวดหัวจนคอแข็ง มีไข้
  • ปวดหัวมากโดยเฉพาะช่วงเช้า
  • ปวดหัว ร่วมกับคลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดหัวขณะที่นั่ง หรือนอนท่าใดท่าหนึ่ง
  • ไอ จาม เบ่ง แล้วปวดหัวมากขึ้น
  • ปวดหัว พร้อมชัก เกร็งกระตุก
  • ปวดหัวจนหมดสติ
  • ปวดหัวร่วมกับอาการ แขนขาชา อ่อนแรง
  • ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด
  • เดินเซ มองเห็นภาพไม่ชัด หรือเห็นเป็นภาพซ้อน

ซึ่งอาการเพิ่มเติมเหล่านี้อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมอง (อ่าน สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง ที่นี่) หากพบอาการผิดปกติเพิ่มมากขึ้น ควรรีบนำส่งแพทย์ที่โรงพยาบาลใหญ่โดยเร็วที่สุด เพราะหากมีอาการมากขึ้น แล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจรักษาชีวิตไว้ไม่ทัน

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :นิตยสาร Health Plus & Slimming October 2015

ภาพ :iStock

Leave a Reply