มะเร็งเต้านม: ความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการรักษา
เดือนตุลาคมของทุกปีเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่าเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต่อต้านมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งในผู้หญิงทั่วโลก (Sung et al., 2021) มะเร็งเต้านมเกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในเนื้อเยื่อเต้านม ซึ่งร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เซลล์เหล่านี้กลายเป็นเซลล์มะเร็งที่อาจลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แม้จะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง แต่จำนวนผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลกและในประเทศไทย การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยง
ทำไม “มะเร็งเต้านม” จึงเป็นภัยร้ายอันดับหนึ่งของผู้หญิง?
มะเร็งเต้านมเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของผู้หญิง และเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิงไทย แซงหน้ามะเร็งปากมดลูก (National Cancer Institute, 2022) แม้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรค แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งสามารถกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์เต้านมที่ผิดปกติได้ (Yip & Rhodes, 2014) เมื่อเซลล์เหล่านี้กลายเป็นเซลล์มะเร็งและเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็อาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ผ่านระบบเลือดหรือระบบน้ำเหลือง
สัญญาณอันตรายและอาการของโรค
มะเร็งเต้านมในระยะแรกมักไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ สัญญาณที่พบบ่อยที่สุดคือการคลำพบก้อนเนื้อในเต้านมหรือบริเวณรักแร้ หลายคนจึงอาจละเลยจนกระทั่งโรคเข้าสู่ระยะลุกลาม สัญญาณอื่นๆ ที่ควรสังเกต ได้แก่:
-
การเปลี่ยนแปลงขนาดหรือรูปร่างของเต้านม
-
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม เช่น รอยบุ๋ม ผิวหนังหนาตัวคล้ายเปลือกส้ม หรือผื่นแดง
-
หัวนมบุ๋มหรือมีของเหลวผิดปกติไหลออกมา
-
อาการบวมหรือเจ็บเต้านม
มะเร็งเต้านมชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือมะเร็งที่เกิดจากท่อน้ำนม (ductal carcinoma) เมื่อเซลล์มะเร็งเติบโตจนทะลุผนังท่อน้ำนม จะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะสำคัญอื่นๆ เช่น กระดูก ตับ ปอด และสมองได้ (Waks & Winer, 2019)
ปัจจัยเสี่ยงและกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
แม้ว่าผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม แต่มีปัจจัยบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้น:
-
อายุ: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป
-
ประวัติครอบครัว: การมีญาติสายตรง (แม่ พี่สาว หรือน้องสาว) เป็นมะเร็งเต้านมจะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ
-
ปัจจัยทางพันธุกรรม: การกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 และ BRCA2 เป็นปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมที่สำคัญที่สุด ผู้หญิงที่มียีนนี้กลายพันธุ์มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมสูงถึง 60-80% ก่อนอายุ 50 ปี (Kuchenbaecker et al., 2017) การกลายพันธุ์นี้สามารถถ่ายทอดจากพ่อหรือแม่ไปสู่ลูกได้
-
ปัจจัยด้านฮอร์โมน: การมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี, การหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี, การไม่มีบุตรหรือมีบุตรคนแรกหลังอายุ 30 ปี ล้วนเพิ่มความเสี่ยงเนื่องจากการสัมผัสฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลานาน (Collaborative Group on Hormonal Factors in Breast Cancer, 2012)
-
การใช้ชีวิต: การดื่มแอลกอฮอล์, ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนหลังวัยหมดประจำเดือน, และการขาดการออกกำลังกาย ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง (World Cancer Research Fund/American Institute for Cancer Research, 2018)
ระยะของโรคและการพยากรณ์โรค
การวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลการรักษา โดยระยะของมะเร็งเต้านมแบ่งได้ดังนี้:
-
ระยะ 0: เป็นระยะก่อนลุกลาม เซลล์มะเร็งยังอยู่เฉพาะในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม สามารถรักษาให้หายขาดได้
-
ระยะที่ 1: ก้อนมะเร็งมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง
-
ระยะที่ 2: ก้อนมะเร็งมีขนาด 2-5 เซนติเมตร หรือเริ่มลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้
-
ระยะที่ 3: ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร และลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองอย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น
-
ระยะที่ 4: มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกายแล้ว (Metastatic Breast Cancer)
การตรวจพบมะเร็งในระยะที่ 0-1 มีโอกาสรอดชีวิตใน 5 ปีสูงกว่า 98% แต่โอกาสนี้จะลดลงเมื่อโรคเข้าสู่ระยะที่สูงขึ้น (American Cancer Society, 2022)
การตรวจวินิจฉัยและการรักษา
-
การตรวจคัดกรอง: การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ, การตรวจโดยแพทย์, และที่สำคัญที่สุดคือการทำดิจิตอลแมมโมแกรม (Digital Mammogram) ร่วมกับอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจหามะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถตรวจพบความผิดปกติขนาดเล็กระดับมิลลิเมตรได้ (Nelson et al., 2016)
-
การรักษา: แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรคและชนิดของเซลล์มะเร็ง
-
การผ่าตัด: อาจเป็นการผ่าตัดแบบสงวนเต้า (ตัดเฉพาะก้อนมะเร็ง) หรือการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด
-
รังสีรักษา (การฉายแสง): มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดแบบสงวนเต้าเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่
-
ยาเคมีบำบัด (คีโม): ใช้เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เติบโตเร็ว ซึ่งอาจแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
-
การรักษาด้วยฮอร์โมน: สำหรับมะเร็งชนิดที่ไวต่อฮอร์โมน (Hormone Receptor-Positive)
-
การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อโปรตีนหรือกลไกบางอย่างของเซลล์มะเร็ง เช่น ยาในกลุ่ม HER2-positive (Swain et al., 2015)
-
การตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด โดยอาจไม่จำเป็นต้องให้ยาเคมีบำบัด แต่หากพบในระยะที่ลุกลามแล้ว การรักษาจะซับซ้อนขึ้นและต้องใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อควบคุมโรค
เอกสารอ้างอิง
-
American Cancer Society. (2022). Cancer Facts & Figures 2022. American Cancer Society. https://www.cancer.org/content/dam/cancer-org/research/cancer-facts-and-statistics/annual-cancer-facts-and-figures/2022/2022-cancer-facts-and-figures.pdf
-
Collaborative Group on Hormonal Factors in Breast Cancer. (2012). Menarche, menopause, and breast cancer risk: individual participant meta-analysis, including 118 964 women with breast cancer from 117 epidemiological studies. The Lancet Oncology, 13(11), 1141-1151. https://doi.org/10.1016/S1470-2045(12)70425-4
-
Kuchenbaecker, K. B., Hopper, J. L., Barnes, D. R., Phillips, K. A., Mooij, T. M., Roos-Blom, M. J., … & Antoniou, A. C. (2017). Risks of breast, ovarian, and contralateral breast cancer for BRCA1 and BRCA2 mutation carriers. JAMA, 317(23), 2402-2416. https://doi.org/10.1001/jama.2017.7112
-
National Cancer Institute. (2022). Hospital-based cancer registry annual report 2021. Ministry of Public Health, Thailand. http://www.nci.go.th/th/File_download/Nci_news/hospital-based%20cancer%20registry%202021.pdf
-
Nelson, H. D., Tyne, K., Naik, A., Bougatsos, C., Chan, B. K., & Humphrey, L. (2016). Screening for breast cancer: an update for the U.S. Preventive Services Task Force. Annals of Internal Medicine, 164(4), 259-268. https://doi.org/10.7326/M15-0994
-
Sung, H., Ferlay, J., Siegel, R. L., Laversanne, M., Soerjomataram, I., Jemal, A., & Bray, F. (2021). Global cancer statistics 2020: GLOBOCAN estimates of incidence and mortality worldwide for 36 cancers in 185 countries. CA: A Cancer Journal for Clinicians, 71(3), 209-249. https://doi.org/10.3322/caac.21660
-
Swain, S. M., Miles, D., Kim, S. B., Im, Y. H., Im, S. A., Semiglazov, V., … & Geyer, C. E. (2015). Pertuzumab, trastuzumab, and docetaxel for HER2-positive metastatic breast cancer (CLEOPATRA): end-of-study results from a double-blind, randomised, placebo-controlled, phase 3 study. The Lancet Oncology, 16(5), 509-518. https://doi.org/10.1016/S1470-2045(15)70113-X
-
Waks, A. G., & Winer, E. P. (2019). Breast cancer treatment: a review. JAMA, 321(3), 288-300. https://doi.org/10.1001/jama.2018.19323
-
World Cancer Research Fund/American Institute for Cancer Research. (2018). Diet, Nutrition, Physical Activity and Cancer: A Global Perspective. Continuous Update Project Expert Report 2018. https://www.wcrf.org/wp-content/uploads/2021/02/Summary-of-Third-Expert-Report-2018.pdf
-
Yip, C. H., & Rhodes, A. (2014). Estrogen and progesterone receptors in breast cancer. Pathology, 46(6), 485-491. https://doi.org/10.1097/PAT.0000000000000133
