ยาคุมกำเนิดกับความเสี่ยงมะเร็งเต้านม: ความจริงที่ผู้หญิงต้องรู้
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ด้วยประสิทธิภาพที่สูง ความสะดวกสบาย และประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากการป้องกันการตั้งครรภ์ เช่น การรักษาสิวและปรับสมดุลฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคำถามที่สร้างความกังวลใจมากที่สุดคือความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาคุมกำเนิดกับความเสี่ยงของ “มะเร็งเต้านม” ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย การทำความเข้าใจข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: ยาคุมกำเนิดเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมจริงหรือ?
คำตอบคือ “ใช่ แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยและเป็นเพียงชั่วคราว”
การศึกษาขนาดใหญ่และน่าเชื่อถือที่สุดในยุคปัจจุบัน คือการศึกษาในประเทศเดนมาร์กที่ติดตามผู้หญิงเกือบ 1.8 ล้านคน เป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร The New England Journal of Medicine โดยมีข้อสรุปที่สำคัญดังนี้ (Mørch et al., 2017):
-
ผู้หญิงที่กำลังใช้หรือเพิ่งหยุดใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม สูงกว่า ผู้หญิงที่ไม่เคยใช้ประมาณ 20% (Relative Risk ≈ 1.20)
-
ความเสี่ยงนี้พบได้ในการคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ดฮอร์โมนรวม, ยาเม็ดโปรเจสตินอย่างเดียว, ยาฉีด, ยาฝัง, แผ่นแปะ ไปจนถึงห่วงอนามัยชนิดมีฮอร์โมน
-
ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ใช้ (เช่น การใช้นานกว่า 5-10 ปี จะมีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้ในระยะสั้น)
-
ข่าวดีคือ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้จะค่อยๆ ลดลงหลังจากหยุดใช้ยา และจะกลับสู่ระดับปกติใกล้เคียงกับคนที่ไม่เคยใช้เมื่อหยุดยาไปแล้วประมาณ 5-10 ปี (Collaborative Group on Hormonal Factors in Breast Cancer, 1996)
การมองความเสี่ยงให้ถูกมุม: ความเสี่ยงเชิงเปรียบเทียบ vs. ความเสี่ยงที่แท้จริง
ตัวเลข “ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 20%” อาจฟังดูน่ากลัว แต่สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “ความเสี่ยงเชิงเปรียบเทียบ (Relative Risk)” และ “ความเสี่ยงที่แท้จริง (Absolute Risk)”
-
ความเสี่ยงที่แท้จริง ของการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงอายุน้อยนั้น ต่ำมาก ดังนั้น การเพิ่มขึ้น 20% บนฐานที่ต่ำอยู่แล้ว จึงยังคงเป็นตัวเลขที่ต่ำอยู่ดี
-
งานวิจัยของ Mørch และคณะ ได้คำนวณว่า การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนจะทำให้มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 1 รายต่อผู้หญิงที่ใช้ยาทั้งหมด 7,690 คนในแต่ละปี ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระดับที่ “น้อยมาก” (Mørch et al., 2017)
การชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและประโยชน์
ในการตัดสินใจทางการแพทย์ จำเป็นต้องมองภาพรวมทั้งหมด การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนมีประโยชน์ที่สำคัญและได้รับการพิสูจน์แล้วเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดความเสี่ยงของมะเร็งชนิดอื่น
-
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: การศึกษาขนาดใหญ่พบว่า การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเป็นระยะเวลานาน ช่วยลดความเสี่ยงตลอดชีวิตของการเกิด “มะเร็งรังไข่” และ “มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก” ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย (Iversen et al., 2017; Gierisch et al., 2013)
ดังนั้น การตัดสินใจจึงเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยและชั่วคราวของมะเร็งเต้านม กับประโยชน์ในการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพและการป้องกันมะเร็งชนิดอื่นในระยะยาว
คำแนะนำ: ทานยาคุมกำเนิดอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด?
-
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ไม่ควรซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเองโดยเด็ดขาด การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคล (เช่น ประวัติครอบครัว) และเลือกชนิดของยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนเหมาะสมกับร่างกายของเรามากที่สุด (ACOG Practice Bulletin No. 186, 2017)
-
แจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด: ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติสุขภาพของตนเองและครอบครัว โดยเฉพาะประวัติที่เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม ลิ่มเลือดอุดตัน หรือโรคอื่นๆ
-
ตระหนักรู้ถึงร่างกายตนเอง: หมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเต้านม (Breast Self-Awareness) และเข้ารับการตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตามคำแนะนำสำหรับช่วงอายุของคุณ (Oeffinger et al., 2015)
-
ทบทวนการใช้อย่างสม่ำเสมอ: ควรมีการพูดคุยกับแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อทบทวนว่าวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้อยู่ยังคงเหมาะสมกับช่วงวัยและแผนครอบครัวของคุณหรือไม่
หากตรวจพบก้อนเนื้อที่เต้านม ควรทำอย่างไร?
หากคุณคลำพบก้อนหรือความผิดปกติใดๆ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที กระบวนการมาตรฐานในการวินิจฉัยเรียกว่า “Triple Assessment” ซึ่งมีความแม่นยำสูงมาก ประกอบด้วย การซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์, การตรวจทางรังสีวิทยา (อัลตราซาวด์และ/หรือแมมโมแกรม), และการเจาะชิ้นเนื้อส่งตรวจหากจำเป็น (Khamis et al., 2021)
เอกสารอ้างอิง (APA 7th Edition)
-
Mørch, L. S., Skovlund, C. W., Hannaford, P. C., Iversen, L., Fielding, S., & Lidegaard, Ø. (2017). Contemporary hormonal contraception and the risk of breast cancer. New England Journal of Medicine, 377(23), 2228–2239. https://doi.org/10.1056/NEJMoa1700732 (งานวิจัยหลักที่สำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน)
-
Collaborative Group on Hormonal Factors in Breast Cancer. (1996). Breast cancer and hormonal contraceptives: collaborative reanalysis of individual data on 53,297 women with breast cancer and 100,239 women without breast cancer from 54 epidemiological studies. The Lancet, 347(9017), 1713–1727. https://doi.org/10.1016/S0140-6736(96)90806-5 (การวิเคราะห์ข้อมูลรวมครั้งประวัติศาสตร์)
-
Iversen, L., Sivasubramaniam, S., Lee, A. J., Fielding, S., & Hannaford, P. C. (2017). Lifetime cancer risk and combined oral contraceptives: the Royal College of General Practitioners’ Oral Contraception Study. American Journal of Obstetrics and Gynecology, 216(6), 580.e1–580.e9. https://doi.org/10.1016/j.ajog.2017.02.002 (ประโยชน์ในการลดความเสี่ยงมะเร็งชนิดอื่น)
-
American College of Obstetricians and Gynecologists’ Committee on Practice Bulletins—Gynecology. (2017). ACOG Practice Bulletin No. 186: Use of hormonal contraception in women with coexisting medical conditions. Obstetrics and Gynecology, 130(1), e55-e74. https://doi.org/10.1097/AOG.0000000000002131 (แนวปฏิบัติในการให้คำปรึกษา)
-
Gierisch, J. M., Coeytaux, R. R., Urrútia, G., Havrilesky, L. J., Moorman, P. G., Lowery, W. J., … & Myers, E. R. (2013). Oral contraceptive use and risk of invasive ovarian cancer. Cochrane Database of Systematic Reviews, 2013(4), CD002757. https://doi.org/10.1002/14651858.CD002757.pub4
-
Khamis, M. H., Al-Mughaid, H., & Al-Rabghi, A. (2021). Diagnostic accuracy of the triple assessment in the detection of breast cancer. Cureus, 13(9), e18037. https://doi.org/10.7759/cureus.18037 (กระบวนการวินิจฉัยก้อนที่เต้านม)
-
Oeffinger, K. C., Fontham, E. T., Etzioni, R., Herzig, A., Michaelson, J. S., Shih, Y. C., … & Wender, R. (2015). Breast cancer screening for women at average risk: 2015 guideline update from the American Cancer Society. JAMA, 314(15), 1599–1614. https://doi.org/10.1001/jama.2015.12783
-
World Health Organization. (2022). Medical eligibility criteria for contraceptive use (5th ed.). https://www.who.int/publications/i/item/9789241549158 (เกณฑ์การเลือกวิธีคุมกำเนิด)
-
American Cancer Society. (2024). Breast Cancer Risk Factors You Cannot Change. Retrieved September 30, 2025, from https://www.cancer.org/cancer/types/breast-cancer/risk-and-prevention/breast-cancer-risk-factors-you-cannot-change.html
-
National Cancer Institute. (2024). Oral Contraceptives and Cancer Risk. Retrieved September 30, 2025, from https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/hormones/oral-contraceptives-fact-sheet
