ออกกำลังกาย

ตะคริวตอนวิ่ง เกิดจากสาเหตุใดกันแน่?

Views

ตะคริวตอนวิ่ง: ความเชื่อผิดๆ ที่ถูกหักล้างด้วยวิทยาศาสตร์ และวิธีป้องกันที่แท้จริง

ภาพนักวิ่งที่ล้มลงไปกองกับพื้นทั้งที่เหลืออีกไม่ไกลจะถึงเส้นชัย… อาการ “ตะคริว” คือฝันร้ายที่นักวิ่งทุกคนไม่อยากเจอ และเป็นปริศนาที่มาพร้อมกับความเชื่อดั้งเดิมว่าเกิดจากการ “ขาดน้ำ” หรือ “ขาดเกลือแร่” แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมเราถึงเป็นตะคริวแค่ที่น่อง แต่ไม่เป็นทั้งตัว?

วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มีคำตอบที่ชัดเจนและอาจเปลี่ยนความเข้าใจของคุณไปตลอดกาล บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงต้นตอที่แท้จริงของตะคริว และค้นพบวิธีป้องกันที่ตรงจุดและยั่งยืน

หักล้างความเชื่อเก่า: ไม่ใช่เพราะ “ขาดน้ำ” หรือ “ขาดเกลือแร่”

แม้การขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง (เช่น จากอาการท้องร่วง) จะทำให้เกิดตะคริวได้ แต่สำหรับ ตะคริวที่เกิดจากการออกกำลังกาย (Exercise-Associated Muscle Cramps – EAMC) นั้น งานวิจัยจำนวนมากชี้ว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน

หนึ่งในงานวิจัยชิ้นสำคัญโดย Dr. Martin Schwellnus ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับตะคริว ได้ทำการเก็บข้อมูลจากนักไตรกีฬา Ironman โดยมีการเจาะเลือดและชั่งน้ำหนักทั้งก่อนและหลังการแข่งขัน ผลการวิจัยพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ของระดับความเข้มข้นของเกลือแร่ในเลือด (โซเดียม, โพแทสเซียม ฯลฯ) และระดับการขาดน้ำ ระหว่างกลุ่มที่เป็นตะคริวและกลุ่มที่ไม่เป็น

ต้นตอที่แท้จริง: เมื่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานผิดพลาด

ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในปัจจุบันคือ “Altered Neuromuscular Control” ซึ่งเสนอโดย Dr. Schwellnus ตั้งแต่ปี 1997 ทฤษฎีนี้อธิบายว่า ตะคริวไม่ใช่ปัญหาเชิง “เคมี” (เกลือแร่) แต่เป็นปัญหาเชิง “ไฟฟ้า” (สัญญาณประสาท)

พูดง่ายๆ คือ เมื่อกล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งถูกใช้งานหนักจนถึงขีดสุด (Fatigue) ระบบประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อมัดนั้นจะเริ่มรวน สัญญาณประสาทที่สั่งให้ “หดตัว” จะถูกส่งออกมาถี่และแรงเกินไป ในขณะที่สัญญาณที่สั่งให้ “คลายตัว” กลับลดลง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเกร็งค้างและกลายเป็นตะคริวในที่สุด

หลักฐานที่น่าทึ่ง: งานวิจัย “น้ำแตงกวาดอง” ได้ช่วยยืนยันเรื่องนี้ โดยพบว่าการดื่มน้ำแตงกวาดองที่มีรสเปรี้ยวจัดสามารถทำให้อาการตะคริวหายไปได้ในเวลาเพียง 85 วินาที ซึ่งรวดเร็วกว่าที่ร่างกายจะดูดซึมน้ำหรือเกลือแร่ใดๆ เข้าสู่กระแสเลือดได้ นักวิจัยเชื่อว่ารสเปรี้ยวจัดได้ไปกระตุ้นตัวรับในลำคอ ทำให้เกิดสัญญาณสะท้อนกลับไปยับยั้งเซลล์ประสาทที่ทำงานผิดปกติในไขสันหลัง เป็นการ “รีเซ็ต” ระบบประสาทให้กลับมาเป็นปกติ

ความเมื่อยล้า “ระบบภูมิคุ้มกัน” และการอักเสบ

เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานหนักจนเกิดความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ (Micro-trauma) “ระบบภูมิคุ้มกัน” จะถูกเรียกให้เข้ามาทำหน้าที่ โดยจะส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันมาเก็บกินเซลล์ที่เสียหายและหลั่งสารที่ก่อให้เกิด “การอักเสบ (Inflammation)” เพื่อเริ่มกระบวนการซ่อมแซม สภาวะอักเสบนี้เองที่อาจทำให้ปลายประสาทในบริเวณนั้นไวต่อการกระตุ้นมากขึ้น และเมื่อรวมกับความเมื่อยล้า ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ระบบประสาททำงานรวนจนเกิดตะคริวได้ง่ายขึ้น

มุมมองการแพทย์เชิงบูรณาการ: ป้องกันที่ต้นเหตุ

เมื่อเข้าใจแล้วว่าต้นตอคือ “ความเหนื่อยล้าของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ” แนวทางการป้องกันในแบบ การแพทย์เชิงบูรณาการ จึงไม่ใช่การ “กิน” เกลือแร่เพื่อแก้ปัญหา แต่คือการ “สร้าง” ร่างกายให้แข็งแกร่งและทนทานต่อความเมื่อยล้าได้มากขึ้น

วิธีป้องกันที่ดีที่สุด ไม่ใช่การกิน แต่คือการซ้อม:

  1. ฝึกซ้อมให้เพียงพอ: สร้างความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้คุ้นชินกับระยะทางและความเร็วที่จะแข่งขัน

  2. เสริมความแข็งแรง (Strength Training): เพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อขาและแกนกลางลำตัวโดยตรง เพื่อลดภาระและความเสียหายของกล้ามเนื้อขณะวิ่ง

  3. วางแผนการวิ่ง (Pacing): งานวิจัยพบว่านักวิ่งที่เป็นตะคริวมักจะวิ่งในช่วงครึ่งแรกของการแข่งขันเร็วกว่าศักยภาพของตัวเอง การคุมความเร็วให้สม่ำเสมอจึงสำคัญมาก

  4. ผ่อนซ้อมก่อนแข่ง (Tapering): การพักผ่อนและผ่อนการซ้อมลงอย่างเหมาะสมในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนแข่ง จะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมตัวเองเต็มที่และลดความเสี่ยงการบาดเจ็บสะสม

ตะคริวไม่ใช่สัญญาณของการขาดเกลือแร่ แต่เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักเกินไป การรับฟังร่างกายและฝึกซ้อมอย่างชาญฉลาด คือกุญแจสำคัญที่จะนำคุณไปสู่เส้นชัยได้อย่างแข็งแกร่งและปราศจากฝันร้ายที่เรียกว่าตะคริว


รายการอ้างอิง (APA 7th Edition with DOI links)

  1. Schwellnus, M. P. (2009). Cause of exercise associated muscle cramps (EAMC) — Altered neuromuscular control, dehydration or electrolyte depletion? British Journal of Sports Medicine, 43(6), 401–408. https://doi.org/10.1136/bjsm.2008.050401

  2. Schwellnus, M. P., Drew, N., & Collins, M. (2011). Increased running speed and previous cramps rather than dehydration or serum sodium changes predict exercise-associated muscle cramping: A prospective cohort study in 210 Ironman triathletes. British Journal of Sports Medicine, 45(8), 650–656. https://doi.org/10.1136/bjsm.2010.080135

  3. Miller, K. C., Mack, G. W., Knight, K. L., Hopkins, J. T., Draper, D. O., Fields, P. J., & Hunter, I. (2010). Reflex inhibition of electrically induced muscle cramps in hypohydrated humans. Medicine and Science in Sports and Exercise, 42(5), 953–961. https://doi.org/10.1249/MSS.0b013e3181c0647e

  4. Maughan, R. J., & Shirreffs, S. M. (2019). Muscle cramping during exercise: Causes, solutions, and questions remaining. Sports Medicine, 49(Suppl 2), 115–124. https://doi.org/10.1007/s40279-019-01162-1

  5. Peake, J. M., Neubauer, O., Della Gatta, P. A., & Nosaka, K. (2017). Muscle damage and inflammation during recovery from exercise. Journal of Applied Physiology, 122(3), 559–570. https://doi.org/10.1152/japplphysiol.00971.2016