บทความนี้ได้รับการปรับแก้และเรียบเรียงใหม่โดยอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยและแนวปฏิบัติทางคลินิกที่น่าเชื่อถือ 10 ฉบับ เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นประโยชน์สูงสุดในการป้องกันและรับมือกับโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): รู้ทันสัญญาณเตือน ลดเสี่ยงอัมพาต
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและความพิการถาวรทั่วโลก (GBD 2019 Stroke Collaborators, 2021) ในสังคมที่ประชากรผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสัญญาณเตือน, ปัจจัยเสี่ยง, และแนวทางการป้องกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการดำเนินการที่รวดเร็วและถูกต้องสามารถลดความรุนแรงของโรคและรักษาชีวิตไว้ได้
4 สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง: จำให้แม่นแล้วทำทันที “F.A.S.T.”
สมาคมโรคหลอดเลือดสมองแห่งสหรัฐอเมริกา (American Stroke Association) ได้รณรงค์ให้จดจำสัญญาณเตือนหลักของโรคหลอดเลือดสมองผ่านตัวย่อ F.A.S.T. เพื่อให้ประชาชนสามารถประเมินอาการและขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว (American Stroke Association, n.d.):
-
F = Face Drooping (ใบหน้าเบี้ยว): กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก ทำให้มุมปากตก ปากเบี้ยว ยิ้มไม่ได้
-
A = Arm Weakness (แขนอ่อนแรง): แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ชา หรือยกไม่ขึ้น
-
S = Speech Difficulty (พูดลำบาก): พูดไม่ชัด, พูดไม่ออก, สับสน, หรือพูดจาติดๆ ขัดๆ
-
T = Time to call emergency services (รีบเรียกรถพยาบาลทันที): เมื่อพบอาการเหล่านี้ ต้องรีบโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน (โทร. 1669) ทันที เพราะทุกนาทีมีความหมาย
“เวลาคือสมอง (Time is Brain)” สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke) ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด การให้ ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolysis) ภายในระยะเวลา 4.5 ชั่วโมง หลังเกิดอาการ จะช่วยลดความพิการและเพิ่มโอกาสการฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ (Hacke et al., 2008)
อย่าละเลย “สัญญาณเตือนชั่วคราว” (TIA)
อาการคล้ายโรคหลอดเลือดสมอง เช่น หน้าเบี้ยว, แขนอ่อนแรง, หรือพูดไม่ชัด ที่เกิดขึ้นชั่วครู่แล้วหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง เรียกว่า ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) แม้จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อสมองอย่างถาวร แต่ TIA คือ สัญญาณเตือนภัยที่อันตรายที่สุด เพราะผู้ป่วยที่มีอาการ TIA มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตามมา โดยเฉพาะในช่วง 48 ชั่วโมงแรก (Johnston et al., 2000) ดังนั้น หากมีอาการเหล่านี้ ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
เข้าใจและจัดการ “ปัจจัยเสี่ยง”
โรคหลอดเลือดสมองเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งที่ป้องกันได้และป้องกันไม่ได้:
-
ปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันไม่ได้: อายุที่เพิ่มขึ้น, เพศ (เพศชายมีความเสี่ยงสูงกว่าในวัยกลางคน), และประวัติครอบครัว
-
ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ป้องกันได้ (และต้องจัดการ):
-
ความดันโลหิตสูง (Hypertension): เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดและควบคุมได้ การลดความดันโลหิตสามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมาก (Lawes et al., 2004)
-
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus): เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 2-4 เท่า
-
ไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia): โดยเฉพาะไขมัน LDL ที่สูง
-
โรคหัวใจ: โดยเฉพาะภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial Fibrillation (AF) ซึ่งทำให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันในสมองได้ง่าย
-
การสูบบุหรี่: เพิ่มความเสี่ยงเป็นสองเท่า
(ดัดแปลงจาก Kleindorfer et al., 2021)
-
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ: หัวใจสำคัญของการดูแลระยะยาว
สำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้ว การป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำมีความสำคัญสูงสุด ซึ่งประกอบด้วยการใช้ยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างจริงจัง:
-
การใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด:
-
ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet agents): เช่น แอสไพริน หรือ clopidogrel เป็นยาพื้นฐานเพื่อป้องกันการก่อตัวของลิ่มเลือดใหม่ (Antithrombotic Trialists’ Collaboration, 2002)
-
ยาลดไขมัน (Statins): เพื่อควบคุมระดับคอเลสเตอรอล
-
ยาลดความดันโลหิต และ ยาควบคุมเบาหวาน
-
-
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต:
-
อาหาร: เน้นการบริโภคผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี, และปลา ลดอาหารเค็ม, อาหารไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ (เช่น อาหารตามแนวทาง DASH หรือ Mediterranean) (Estruch et al., 2018)
-
ออกกำลังกาย: ควรมีการออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์และนักกายภาพบำบัด (Billinger et al., 2014)
-
งดสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
-
-
การฟื้นฟูและการดูแลด้วยเทคโนโลยี: การทำกายภาพบำบัด, กิจกรรมบำบัด, และอรรถบำบัด เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อฟื้นฟูความสามารถของร่างกายให้กลับมาได้มากที่สุด ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีการดูแลทางไกล (Telerehabilitation) มาใช้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องที่บ้าน ซึ่งมีหลักฐานว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่แพ้การทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล (Chen et al., 2022)
เอกสารอ้างอิง (APA 7th Edition)
-
American Stroke Association. (n.d.). Stroke Warning Signs and Symptoms. Retrieved September 30, 2025, from https://www.stroke.org/en/about-stroke/stroke-symptoms
-
Antithrombotic Trialists’ Collaboration. (2002). Collaborative meta-analysis of randomised trials of antiplatelet therapy for prevention of death, myocardial infarction, and stroke in high risk patients. BMJ, 324(7329), 71–86. https://doi.org/10.1136/bmj.324.7329.71
-
Billinger, S. A., Arena, R., Bernhardt, J., Eng, J. J., Franklin, B. A., Johnson, C. M., … & American Heart Association Stroke Council. (2014). Physical activity and exercise recommendations for stroke survivors: a statement for healthcare professionals from the American Heart Association/American Stroke Association. Stroke, 45(8), 2532–2553. https://doi.org/10.1161/STR.0000000000000022
-
Chen, J., Jin, W., Zhang, T., & Dong, W. (2022). The effectiveness of telerehabilitation for stroke patients: A systematic review and meta-analysis. Journal of Telemedicine and Telecare, 28(1), 3-17. https://doi.org/10.1177/1357633X20919177
-
Estruch, R., Ros, E., Salas-Salvadó, J., Covas, M. I., Corella, D., Arós, F., … & PREDIMED Study Investigators. (2018). Primary prevention of cardiovascular disease with a Mediterranean diet supplemented with extra-virgin olive oil or nuts. New England Journal of Medicine, 378(25), e34. https://doi.org/10.1056/NEJMoa1800389
-
GBD 2019 Stroke Collaborators. (2021). Global, regional, and national burden of stroke and its risk factors, 1990–2019: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2019. The Lancet Neurology, 20(10), 795-820. https://doi.org/10.1016/S1474-4422(21)00252-0
-
Hacke, W., Kaste, M., Bluhmki, E., Brozman, M., Dávalos, A., Guidetti, D., … & ECASS Investigators. (2008). Thrombolysis with alteplase 3 to 4.5 hours after acute ischemic stroke. New England Journal of Medicine, 359(13), 1317–1329. https://doi.org/10.1056/NEJMoa0804656
-
Johnston, S. C., Gress, D. R., Browner, W. S., & Sidney, S. (2000). Short-term prognosis after emergency department diagnosis of TIA. JAMA, 284(22), 2901–2906. https://doi.org/10.1001/jama.284.22.2901
-
Kleindorfer, D. O., Towfighi, A., Chaturvedi, S., Cockroft, K. M., Gutierrez, J., Lombardi-Hill, D., … & American Heart Association Stroke Council. (2021). 2021 Guideline for the prevention of stroke in patients with stroke and transient ischemic attack: a guideline from the American Heart Association/American Stroke Association. Stroke, 52(7), e364–e467. https://doi.org/10.1161/STR.0000000000000375
-
Lawes, C. M., Bennett, D. A., Feigin, V. L., & Rodgers, A. (2004). Blood pressure and stroke: an overview of published reviews. Stroke, 35(4), 1024-1033. https://doi.org/10.1161/01.STR.0000126013.84306.F5